บทที่ 62
เพียงตวัดตามอง สีหน้าของซู่เซิ่นฮุยก็เคร่งเครียดขึ้นทันที เขาหมุนตัวเดินกลับเข้ามาข้างในแล้วแกะตราครั่งภายใต้แสงตะเกียงบนโต๊ะ
ดวงตาคมตรึงอยู่บนฎีกาที่ได้รับ ช่วงแรกยังกวาดตาอ่านเร็วๆ ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ชื่อซูยังไม่ตาย กำลังชักใยสร้างความปั่นป่วนให้แปดดินแดน แม้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างปุบปับ แต่ก็ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายมากมายนัก
ส่วนเจียงจู่วั่งเมื่อได้รับสารขอความช่วยเหลือจากต้าเฮ่ออ๋องก็เร่งจัดทัพส่งไปช่วยอย่างเร่งด่วน ข้อนี้ก็สอดคล้องตามการคาดการณ์ของซู่เซิ่นฮุยเช่นกัน
ที่ก่อนหน้านี้เขาวางอำนาจเด็ดขาดทางการทหารลงบนมือแม่ทัพใหญ่แดนเหนือ นอกจากต้องการแสดงให้เจ้าตัวเห็นถึงความตั้งใจที่จะตอบแทนผลประโยชน์จากการแต่งงานนี้ ยังเป็นเพราะเล็งเห็นว่าเป่ยตี๋อาจชิงก่อเหตุวุ่นวายก่อนที่ต้าเว่ยจะเคลื่อนพลข้ามชายแดนไปเปิดศึก
ศึกสงครามเร่งด่วนไม่ต่างจากไฟไหม้ เขามอบอำนาจทางการทหารแก่เจียงจู่วั่งมากขึ้นเพื่อให้เจ้าตัวดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที จะได้ไม่ผลาญเวลากับการส่งข่าวไปกลับจนเสียโอกาสทางพิชัยยุทธ์
แต่เมื่ออ่านต่อไปเรื่อยๆ ดวงตาของเขาก็พลันหรี่เกร็ง หัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก
ซู่เซิ่นฮุยแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง เขาจ้องเนื้อความช่วงสุดท้ายของฎีกาเขม็ง พยับเมฆหม่นทะมึนก่อตัวขึ้นในดวงตาอย่างรวดเร็ว
หลังได้สนทนากับเจียงหานหยวนบนเตียงนอนจนเป็นที่แน่ใจว่าต่างฝ่ายต่างมีปณิธานเดียวกันในคืนนั้น เขาก็ให้คนนำตราพยัคฆ์และคำสั่งมอบอำนาจไปเยี่ยนเหมินในนามกองทัพ
แม้ตอนนั้นจะไม่ได้พูดให้ชัดเจน แต่เขาเชื่อว่าเจียงจู่วั่งย่อมมีวิจารณญาณอยู่ในใจ
ในเมื่อบุตรสาวแต่งงานกับเขาแล้ว ต่อให้เขายอมปล่อยนางกลับเข้าค่ายทหาร แต่พ่อตาของเขาน่าจะไม่มอบหมายภารกิจเสี่ยงภัยให้นางทำอีก
ข้อนี้ชายหนุ่มคิดว่าไม่จำเป็นที่ตนต้องออกปากพูดให้ชัดเจนแต่อย่างใด
เจียงจู่วั่งเป็นแม่ทัพสุขุมมากประสบการณ์ ไม่มีทางไม่เข้าใจอยู่แล้ว
ซู่เซิ่นฮุยไม่คิดเลยจริงๆ ว่าแม่ทัพใหญ่จะกล้าทำเช่นนี้!
ดูจากวันที่ในฎีกา น่าจะเป็นช่วงที่นางกลับถึงเยี่ยนเหมินได้ไม่ทันไร
นางเพิ่งกลับไปถึง ก่อนกลับยังทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรง น่ากลัวว่ายังไม่ทันฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าระหว่างเดินทางด้วยซ้ำ กลับถูกผู้เป็นบิดาสั่งให้คุมกองทัพไปตามเส้นทางเสี่ยงอันตรายกลางถิ่นศัตรูชาวตี๋ทันที!
ต่อให้นางเป็นคนเสนอตนเอง เจียงจู่วั่งจะปฏิเสธไม่เป็นเชียวหรือ
ตนเองเป็นแม่ทัพใหญ่ ขอเพียงไม่อนุญาตเสียอย่าง แม้บุตรสาวจะดื้อรั้นสักเพียงใดก็ไม่มีทางนำตราคำสั่งยกทัพออกไปเองได้
โทสะเดือดพล่านอยู่ในใจซู่เซิ่นฮุย จนใจที่มีขุนเขาสายน้ำขวางกั้น ไม่อาจติดปีกบินไปชายแดนเหนือได้ทันที เขาโยนฎีกาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปที่หน้าประตูแล้วตะโกนเรียกเสียงเข้ม “หลิวเซี่ยง!”
สารฉบับนี้ถูกส่งด่วนมาจากเยี่ยนเหมิน ด้วยความที่เคยเป็นทหารมาก่อน หลิวเซี่ยงจึงค่อนข้างสนใจใคร่รู้ เมื่อครู่จึงได้นำมาให้เจ้านายด้วยตนเอง หลังอ๋องผู้สำเร็จราชการรับไปแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปในทันที ยังคงยืนรออยู่แถวนั้น พอได้ยินเสียงเรียกที่แฝงไว้ด้วยโทสะก็ใจเต้นแรง รีบสาวเท้าเดินไปผลักประตูเข้ามาข้างในทันที
“ท่านอ๋องทรงมีสิ่งใดจะบัญชา”
“ให้คนส่งคำสั่งด่วนของข้าไปเยี่ยนเหมินด้วยม้าเร็วแปดร้อยหลี่! ให้เจียงจู่วั่ง…”
อยู่ๆ คำพูดของเขาก็สะดุด เงียบไปเพียงเท่านั้น
หลิวเซี่ยงรออยู่พักหนึ่ง อ๋องผู้สำเร็จราชการยืนนิ่งอยู่กับที่ สองตาจ้องมองฎีกาบนโต๊ะที่ไม่รู้เขียนมาว่าอย่างไรด้วยสีหน้าเคร่งเครียดถมึงทึง เขาเห็นแล้วอดเป็นกังวลแทนนายเก่าไม่ได้
ต้องไม่ลืมว่าการส่งข่าวด่วนด้วยม้าเร็วแปดร้อยหลี่ต่อวันนั้นจำกัดแค่เฉพาะในกรณีที่มีเหตุกะทันหันทางการทหารหรือเรื่องสำคัญในระดับเดียวกันเท่านั้น ถึงจะสามารถส่งข่าวด้วยวิธีนี้ได้
แต่เท่าที่ดูจากสีหน้าอ๋องผู้สำเร็จราชการ เหมือนจะไม่ใช่เรื่องทางการทหาร…ข้อนี้หลิวเซี่ยงแน่ใจทีเดียว ไม่ว่าเป็นเรื่องทางการทหารที่สำคัญสักเพียงไร ต่อให้เวลานี้เป่ยตี๋ยกกองทัพขนาดใหญ่บุกประชิดชายแดนเยี่ยนเหมิน เขาก็คิดว่าอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่น่าจะมีสีหน้าถมึงทึงเช่นนี้ หลิวเซี่ยงอดกังขาไม่ได้ว่าสารที่เจียงจู่วั่งส่งมามีข้อความล่วงเกินชายหนุ่มตรงหน้าอย่างรุนแรงหรือไม่
กลั้นหายใจรอได้สักพักเขาก็เลียบเคียงถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพใหญ่เจียงมีอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่ายตรงข้ามยังคงไม่มีการตอบสนองต่อคำถามนั้น หลิวเซี่ยงไม่กล้าถามต่อ รออยู่อีกครู่หนึ่ง ในที่สุดอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยกแขนโบกมือให้ตนเอง
หลิวเซี่ยงเข้าใจความหมาย จึงได้แต่สะกดความสงสัยและความกังวลที่อัดแน่นอยู่ในใจ ก้มศีรษะถอยกลับออกไปเงียบๆ
ซู่เซิ่นฮุยทรุดตัวลงนั่งอย่างแช่มช้า สายตาตรึงนิ่งอยู่บนข้อความช่วงสุดท้ายในสารจากแม่ทัพแดนเหนือ ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว