บทที่ 65
ในสายตาหลิวเซี่ยง อ๋องผู้สำเร็จราชการอยู่ในฐานะสูงส่ง ทั้งยังเจ้าความคิด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่ก็ดีกับคนรอบข้างเสมอมา ไม่เคยยกฐานะข่มใคร ไม่ต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่วัดฮู่กั๋วเมื่อปีกลายเลย เพราะหลังเหตุการณ์ครานั้นหลิวเซี่ยงก็มอบความจงรักภักดีให้เจ้าตัวแบบยอมตายแทนได้
เพราะเหตุนี้เอง พอเห็นชายหนุ่มมายืนนิ่งริมทะเลสาบกลางดึกเหมือนมีเรื่องอัดอั้นตันใจ ระหว่างที่ตอบคำถามเกี่ยวกับวัยเยาว์ของนายหญิงน้อย ลึกๆ ในใจเขาจึงอยากพูดคุยด้วยแบบเปิดอก จนเผลอลดความระมัดระวังลงแล้วหลุดปากเอ่ยประโยคนั้นออกมา
บรรยากาศเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
หลิวเซี่ยงตื่นตระหนกเสียไม่มีดี พออีกฝ่ายพูดจบประโยค เขาก็ได้สติแล้วรีบทิ้งตัวลงคุกเข่า
ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาหลันไทเฮาเมื่อปีกลาย อย่าว่าแต่ตอนหลังเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แก่ราชสำนักขึ้นในวัดฮู่กั๋วเลย ต่อให้วันนั้นไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น เขาก็บอกให้ใครรู้ไม่ได้ว่าตนลอบปล่อยคนเข้าไปในอารามเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ต่อให้คนผู้นั้นเป็นบุตรสาวนายเก่าที่เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่านางจะไม่มีเจตนาร้าย
สำหรับตำแหน่งหน้าที่ของเขาแล้ว พฤติกรรมเช่นนี้เป็นข้อห้ามร้ายแรง ไม่นึกเลยว่าตนเองจะพลั้งเผลอแย้มพรายออกไปเพราะอยากปลอบโยนคู่สนทนา ทั้งอีกฝ่ายยังสะกิดใจจนคาดคั้นถามเช่นนี้
กับเจ้านายที่เกิดความสงสัยคลางแคลงใจ หลิวเซี่ยงไม่อาจหาญทำปากแข็งปฏิเสธ ทว่าในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้ ได้แต่ก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาด้วย
ซู่เซิ่นฮุยมองกิริยาเช่นนั้นของฝ่ายตรงข้าม แล้วหวนนึกถึงประโยคเมื่อครู่ที่ว่า ‘ถึงอย่างไรที่พระชายาทรงแต่งเข้าจวนก็น่าจะเพราะทรงชื่นชมท่านอ๋อง’ ก็ให้รู้สึกว่ามีนัยซ่อนเร้น
ในเมื่อเกี่ยวกับนาง หากไม่เค้นถามให้รู้เรื่อง เขาไหนเลยจะยอมเลิกรา
ชายหนุ่มมองคนที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่บนพื้น “เงยหน้าขึ้นมา”
เสียงพูดไม่ดังมาก ทั้งยังไม่มีโทสะแฝงอยู่ ทว่าการคุกคามกลับแผ่อวลออกมาจากน้ำเสียง หลิวเซี่ยงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบประสานนัยน์ตาที่จ้องมองมาของอ๋องผู้สำเร็จราชการ
“พูด!”
จะเลี่ยงก็เลี่ยงไม่พ้นอีกแล้ว หลิวเซี่ยงกัดฟันแน่น ทำได้แค่เล่าเรื่องที่แม่ทัพหญิงมาขอร้องให้ตนปล่อยนางเข้าไปในวัดฮู่กั๋ว ระหว่างที่ตนปฏิบัติหน้าที่ที่นั่นในวันเฉลิมพระชนมพรรษาหลันไทเฮา
“…ตอนนั้นกระหม่อมได้ยินข่าวการสู่ขอของท่านอ๋องแล้ว เมื่อแรกไม่คิดจะตอบรับ แต่พระชายาตรัสว่าทรงอยากเห็นพระพักตร์ท่านอ๋องสักครั้ง กระหม่อมเห็นว่าพระชายาทรงยอมดั้นด้นเดินทางเข้าเมืองหลวงคนเดียวลำพังจนเนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น เพียงเพราะเรื่องแต่งงานอย่างเดียว นึกถึงหัวอกหญิงสาวนางหนึ่งก็เกิดความสงสาร เชื่อว่าจะต้องไม่มีเจตนาร้าย นอกจากนั้นยังเพราะสายสัมพันธ์ในอดีต กระหม่อมจึงเลอะเลือนชั่วขณะ ให้พระชายาทรงปลอมตัวเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อมลอบเข้าวัด ภายหลังเกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้นข้างใน ท่านอ๋องทรงกวาดล้างกบฏ เวลานั้นกระหม่อมแค่จะเอาตัวรอดยังยาก จึงไม่ได้ออกตามหา พระชายาก็เสด็จกลับไปเอง…”
ในความคิดของหลิวเซี่ยง นายหญิงน้อยขี่ม้ารอนแรมมาเมืองหลวงตามลำพังเพราะอยากยลโฉมอ๋องผู้สำเร็จราชการสักครั้ง…ข้อนี้นางเป็นคนพูดออกมาเอง…หลังจากนั้นเมื่อกลับเยี่ยนเหมินนางก็ยอมออกเรือนโดยไม่อิดออด
หากไม่พอใจในตัวฝ่ายชายจะเรียกว่าอะไรเล่า
จะโทษก็ต้องโทษที่เมื่อครู่เขาพลั้งปากนี่ล่ะ หลิวเซี่ยงมองอ๋องผู้สำเร็จราชการที่ยืนใต้แสงจันทร์ เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของเขาแล้ว สีหน้าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะไม่นุ่มนวลขึ้น ยังดูเหมือนจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าเก่า เห็นแล้วให้เหงื่อออกเต็มหน้าผากอย่างห้ามไม่อยู่
“ท่านอ๋องโปรดทรงอภัยด้วย! กระหม่อมเองก็ทราบว่าการกระทำของตนในวันนั้นถือว่าบกพร่องในหน้าที่อย่างรุนแรง ท่านอ๋องจะทรงลงทัณฑ์อย่างไร กระหม่อมยินดีรับโทษทุกประการพ่ะย่ะค่ะ!”
พูดจบก็ตรึงศีรษะกับพื้น ไม่กล้าลุกขึ้นมา รออยู่สักพักก็ยังไม่ได้ยินอ๋องผู้สำเร็จราชการเอ่ยอะไรเสียที หลิวเซี่ยงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นฝ่ายนั้นยืนหลับตานิ่ง สีหน้าเย็นชา ร่างทั้งร่างแข็งทื่อไม่ขยับ