ปลายพู่กันก็หยุดชะงัก เขาเหลือบมองเปลวเทียนอย่างเหม่อลอย
เขียนจดหมาย…มีประโยชน์หรือ
นางจะเชื่อคำอธิบายที่ข้าเขียนไปในจดหมายหรือไม่
มิหนำซ้ำป่านนี้นางน่าจะทำศึกอยู่ที่แปดดินแดน ตามที่เขาคำนวณ ต่อให้ทุกอย่างดำเนินไปโดยราบรื่น อย่างเร็วที่สุดก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนนางจึงจะกลับถึงเยี่ยนเหมิน และแม้จดหมายของเขาจะถูกส่งไปด้วยความเร็วสูงสุด กว่าจะถึงก็อีกหกเจ็ดวันให้หลัง ครั้นจะสั่งให้คนส่งต่อไปที่สมรภูมิเขาก็ทำไม่ได้
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานที่นางกำลังจดจ่ออยู่กับการศึก เขาจะเอาเรื่องส่วนตัวพรรค์นี้ไปทำให้นางเสียสมาธิได้อย่างไร
ชายหนุ่มวางพู่กันลงช้าๆ
เช่นนั้น…ทิ้งทุกอย่างเอาไว้ ฉวยโอกาสที่เขายังอยู่ที่นี่หาข้ออ้างเปลี่ยนเส้นทางไปเยี่ยนเหมินทันที รอนางกลับมาพร้อมชัยชนะแล้วอธิบายให้นางฟังด้วยตนเอง?
หลายปีเต็มทีนับแต่เสด็จพ่อจากไปที่เขาไม่เคยทำอะไรตามอำเภอใจเช่นนี้อีกเลย ตอนฮ่องเต้องค์ก่อน เสด็จพี่ไว้วางใจและยึดเขาเป็นที่พึ่งพาทุกเรื่อง หากเขาไม่สะสางงานในราชสำนักก็ต้องตระเวนเดินทางออกตกเหนือใต้เพื่อบรรเทาทุกข์ให้ราษฎรตามท้องที่ต่างๆ ยิ่งสองสามปีมานี้ที่ฮ่องเต้น้อยขึ้นสืบราชสมบัติ เขายิ่งถูกราชกิจและฎีกาต่างๆ โถมถั่งเข้าใส่จนไม่มีเวลาว่างแม้ชั่วขณะจิต
เขาเคยบอกหลานชายว่าในสายตาเขาวังหลวงไม่ใช่กรงขัง หากแต่เป็นความรับผิดชอบ เขารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ สำหรับฮ่องเต้น้อยที่ถูกลิขิตมาให้ปกครองวังหลวงในภายภาคหน้ายิ่งไม่สมควรมองว่าสถานที่แห่งนี้คือกรงขังเข้าไปใหญ่ เขาเป็นอ๋องผู้สำเร็จราชการ จำต้องทำตัวเป็นเยี่ยงอย่างเพื่อชี้นำฮ่องเต้น้อยไปตามครรลองที่ถูกควร
ทว่าในความเป็นจริงความรับผิดชอบ…ก็เป็นสิ่งผูกมัดรูปแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ
สลัดความรับผิดชอบทุกอย่างที่ผูกตรวนข้าไว้ทิ้งไปให้หมด แล้วไปหานางที่เยี่ยนเหมินตอนนี้…เดี๋ยวนี้เลย!
ความคิดนั้นกระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีดแรงขึ้น จังหวะหัวใจถี่รัวคอยเร่งเร้าสองเท้าไม่หยุดหย่อน แต่…เขาทำเช่นนั้นได้จริงหรือ
ซู่เซิ่นฮุยนั่งไม่ติดอีกต่อไป ต้องลุกพรวดขึ้นเดินไปเดินมาในห้องหนังสือของตำหนักแปรพระราชฐาน ภาพที่นางจะได้เห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าอย่างเหนือความคาดหมายหลังกำชัยชนะกลับมาที่นึกไว้ทำให้เลือดในกายร้อนฉ่า เขาสาวเท้าออกไปข้างนอก หมายจะบอกให้คนเรียกหลิวเซี่ยงมาสั่งการเรื่องที่ต้องตระเตรียม แต่แล้วอยู่ๆ ปลายเท้าก็พลันชะลอลงเสียก่อน
ข้อเท็จจริงที่เมื่อครู่มองข้ามไปเพราะมัวแต่ตื่นเต้นวาบขึ้นมากระทบความคิด
เหตุใดนางถึงได้ลอบเข้าฉางอันตามลำพังคนเดียวเพื่อมาดูเขา
หลิวเซี่ยงบอกว่านางดั้นด้นเดินทางพันหลี่เพราะอยากเห็นหน้าเขาสักครั้งตามวิสัยสตรี…เหตุผลพรรค์นี้คงมีแต่หลิวเซี่ยงเท่านั้นที่คิดได้ ซู่เซิ่นฮุยไม่คล้อยตามแม้แต่นิดเดียว
ชายหนุ่มชะงักเท้า หลับตาลง ทบทวนบทสนทนาระหว่างตนกับเวินวัน รวมถึงฮ่องเต้น้อยในวันนั้นอีกครั้ง
เขาบอกเวินวันว่าตอนอายุสิบเจ็ดตนเองตั้งปณิธานไว้ว่าจะช่วงชิงมณฑลทางเหนือคืนมาให้จงได้
จากนั้นก็แจกแจงผลได้ผลเสียที่ตนแต่งงานกับบุตรสาวเจียงจู่วั่งให้ฮ่องเต้น้อยฟัง
ซู่เซิ่นฮุยคิด…แล้วก็คิด เลือดที่แต่เดิมร้อนระอุอยู่ในตัวเริ่มคลายอุณหภูมิลง จนความเยือกเย็นค่อยๆ กลับคืนมา
เขาเข้าใจแล้ว
หลังจากที่เสียนอ๋องกลับจากเยี่ยนเหมินได้พูดว่านางเหมือนจะต่อต้านการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงหายตัวไประยะหนึ่ง ตอนนี้ลองตรองดู นางน่าจะเข้าเมืองหลวงนั่นล่ะ เดิมทีนางไม่อยากแต่งงาน แต่ภายหลังเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา คงเพราะวันนั้นได้รู้จุดประสงค์ที่เขาสู่ขอนาง ซึ่งเชื่อว่าคงสอดคล้องกับความต้องการของนางพอดี ดังนั้นจึงเปลี่ยนใจ เมื่อกลับไปเยี่ยนเหมินก็ยอมให้ความร่วมมือแต่งงานเข้าฉางอันมาเป็นชายาของเขาแต่โดยดี