ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน แม่ทัพฉางหนิง ขุนศึกหญิงพิทักษ์นครา บทที่ 7-8
บทที่ 7
ฮ่องเต้น้อยนิ่งเงียบ
มีหรือผู้เป็นอาจะดูไม่ออกว่าใจเจ้าตัวยังไม่ยอมรับเหตุผลนี้ จึงเอ่ยยิ้มๆ “ยังไม่ยอมจำนนอีก อยากพูดอะไรก็พูดมาได้เต็มที่เลย”
“ท่านบอกให้ข้าพูดเองนะ!” ซู่เจี่ยนเอ่ยงึมงำ “ข้าไม่เชื่อหรอก ทั้งต้าเว่ยมีเพียงเจียงจู่วั่งคนเดียวหรือไรที่รบเป็น เสด็จอาสามถึงต้องซื้อใจเขาด้วยวิธีนี้…”
“ถูกของเจ้า ต้าเว่ยสถาปนาแคว้นขึ้นได้จากการทำศึก ความจริงคนที่สามารถนำทัพออกรบมีมากประหนึ่งดาวบนฟ้าด้วยซ้ำ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ฮ่องเต้เซิ่งอู่เสด็จปู่ของเจ้าประทานตำแหน่งขุนนาง ลำพังแค่ผู้ที่ได้รับบรรดาศักดิ์กง ขั้นหนึ่งก็มีไม่ต่ำกว่าสิบคนแล้ว ภายในเวลาเพียงสิบกว่าปี ทุกวันนี้ขุนนางผู้มีความดีความชอบในอดีตบ้างหลงระเริงอยู่กับความสุข บ้างกำลังวังชาถดถอย บ้างเย่อหยิ่งจองหอง ถือตัวว่าเคยสร้างคุณงามความดี ยากที่จะนำมาใช้งาน
เจี่ยนเอ๋อร์ หลายสิบปีมานี้ชาวเป่ยตี๋ตั้งตนเป็นราชันแห่งผู้กล้าเลียนแบบการตั้งแคว้นสถาปนาฮ่องเต้ของจงหยวน ซ้ำร้ายยังอ้างว่าวางกองทัพตรึงกำลังพลถึงหนึ่งร้อยหมื่นนายไว้ควบคุมกลุ่มดินแดนทางเหนือที่ถูกพวกมันชิงไป แม้จะฟังดูเกินจริงอยู่บ้าง แต่กำลังทหารของพวกมันก็แข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้นเหล่าองค์ชายในแคว้นก็ใช่จะกระจอก หนึ่งในนั้นมีนามว่าชื่อซู เก่งกาจสามารถเป็นพิเศษ ถึงขั้นทำให้ชาวฮั่นเสนอตัวรับใช้ได้ หลังจบศึกที่ราบชิงมู่คนผู้นี้ก็นั่งปกครองดินแดนแถบมณฑลเยียนโจวและซั่วโจว ครองบรรดาศักดิ์หนานอ๋อง หากคิดจะช่วงชิงดินแดนทางเหนือของต้าเว่ยคืนมา สงครามชี้ชะตาครั้งสุดท้ายจะถือเป็นศึกของแผ่นดิน บางทีอาจยากยิ่งกว่าศึกที่เสด็จปู่ของเจ้าทรงเคยผ่านมาในอดีตด้วยซ้ำ หากไม่ใช่แม่ทัพแกล้วกล้าไม่กลัวตายย่อมไม่อาจยกทัพออกรบขับไล่ศัตรูให้แตกพ่าย ผู้ที่จะมาคุมทัพต้องสามารถวางกลยุทธ์อย่างเฉียบคมและทำภารกิจอันยากเข็ญให้สำเร็จได้โดยง่าย เท่าที่พิจารณาทั้งราชสำนักในตอนนี้เห็นจะมีแค่เจียงจู่วั่งเท่านั้นที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ในวันข้างหน้า”
ตอนแรกฮ่องเต้น้อยยังทำหน้าไม่ยอมแพ้ แต่ฟังไปเรื่อยๆ ก็จ้องมองผู้เป็นอาตาไม่กะพริบ
ซู่เซิ่นฮุยนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ยังมีอีกเรื่อง ตอนแรกไม่ทันได้พูดให้เจ้าฟัง ตั้งใจจะเล่าเร็วๆ นี้นี่ล่ะ ตอนเข้ามาเป็นทหารในกองทัพใหม่ๆ เจียงจู่วั่งอยู่ใต้บังคับบัญชาของเกาอ๋อง เคยได้รับการสนับสนุนจากเขาให้เติบโตในหน้าที่การงาน ที่ผ่านมาเกาอ๋องหมายจะเก็บเจียงจู่วั่งไว้ใช้งานมาโดยตลอด นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ข้าใช้การสู่ขอครานี้ยั่วยุเขาจนอยู่เฉยไม่ไหว ไม่เพียงเท่านี้หลายเดือนก่อนเฉิงอ๋องยังลอบส่งคนไปพบเจียงจู่วั่งเป็นการลับอีกด้วย…”
ตรงมุมลิบๆ นั่นแมงมุมที่ตกจากรังกำลังไต่อยู่บนแท่นวางที่เป็นดั่งทะเลคัมภีร์ มันหาทางกลับขึ้นไปบนรังที่ชักใยถักทอขึ้นอย่างยากเย็น ทว่าสับสนไร้ทิศทาง หลังหมุนไปหมุนมาอยู่กับที่อย่างลนลานมันก็ไต่สะเปะสะปะไปยังหน้าต่างฉลุลายที่อยู่ใกล้ๆ
ฮ่องเต้น้อยอุทานด้วยความตกใจ “อะไรนะ! มีเรื่องเช่นนี้ด้วย หรือว่าเจียงจู่วั่งจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเขา?”
อ๋องผู้สำเร็จราชการส่ายหน้า “เจียงจู่วั่งคนนี้หัวเก่าและคิดอ่านรอบคอบ หลายปีที่ผ่านมาย่อมมองความเห่อเหิมทะเยอทะยานของเกาอ๋องออก คงกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อนไปด้วย เท่าที่ข้ารู้เขาไม่เคยเป็นฝ่ายติดต่อก่อนเลย ครานี้ทูตของเฉิงอ๋องเจรจาเรื่องใดกับเขาบ้างยังไม่กระจ่าง แต่คาดว่าคงไม่พ้นเตือนให้เขาระวังว่าผลงานจะโดดเด่นเกินเจ้าแผ่นดิน และหาทางดึงเขาเข้าเป็นพวก เจียงจู่วั่งน่าจะไม่ได้ตอบตกลง ทว่าก็ไม่ได้รายงานราชสำนักเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน เขาผ่านประสบการณ์มามาก กาลเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้เป็นไปไม่ได้ว่าจะอ่านเจตนาของคนเยี่ยงเกาอ๋องและเฉิงอ๋องไม่ออก”
ฮ่องเต้น้อยหัวฟัดหัวเหวี่ยง “แสดงว่าเขาก็เหมือนคนพวกนั้น คอยนั่งบนยอดกำแพงเพื่อสังเกตทางลม แล้วค่อยเลือกข้างอย่างนั้นสิ”
ซู่เซิ่นฮุยวิเคราะห์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นไปได้เช่นกันว่าเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงปิดบังเรื่องนี้กับราชสำนัก แต่ทางเราก็จำต้องป้องกันไว้ก่อน เหมือนอย่างที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ในเวลาเช่นนี้การแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจที่ราชสำนักมีต่อเขาเป็นสิ่งจำเป็น นับแต่โบราณมาการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เป็นทางลัดที่ช่วยให้สองตระกูลแน่นแฟ้นเป็นทองแผ่นเดียวกัน หากราชวงศ์จะแสดงบุญคุณและความเชื่อใจต่อขุนนางก็ต้องใช้วิธีเช่นนี้ วันข้างหน้าเป็นอย่างไรค่อยพูดกันอีกที อย่างน้อยเวลานี้ข้าก็ใช้การสู่ขอแสดงไมตรีต่อเขา ขอเพียงเขาจงรักภักดีต่อราชสำนัก ทั้งราชสำนักและฝ่าบาทก็มีแต่จะฝากความหวังไว้กับเขา ไม่มีทางจะคิดร้ายไปได้ เพื่อแสดงออกว่าพวกเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เสด็จปู่ของเจ้าจึงทรงรับหน้าที่เสด็จไปเจรจาเรื่องแต่งงานให้ข้า ตอนไปเยี่ยมเยียนชายแดนในอดีตข้าเคยใช้เวลาอยู่กับเจียงจู่วั่งหลายวัน แม้ไม่นับว่านาน แต่ก็พอมองออกว่าเขาเป็นคนมีความคิดความอ่าน เชื่อว่าย่อมต้องเข้าใจจุดประสงค์ที่ข้าทำเช่นนี้ แล้วให้คำตอบอย่างที่ควรให้ นี่ก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนา”
“แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ หากปะเหมาะเคราะห์ร้ายเขามีใจโลเลเช่นเดียวกับคนพวกนั้น ซุ่มรอดูว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ…” เด็กหนุ่มหยุดพูดกลางคัน
ซู่เซิ่นฮุยยิ้มบางๆ “นี่คือเหตุผลที่เกาอ๋องต้องตาย ข้าตั้งใจตีป่าให้เสือตื่น ให้คนที่โลเลไม่เลือกข้างมานานได้ตระหนักว่ากลับตัวกลับใจตอนนี้ยังไม่สาย”
“เหตุใดต้องให้โอกาสคนโลเลเช่นนั้นด้วยเล่า ไฉนถึงไม่ฉวยโอกาสนี้กำจัดทิ้งเสียให้หมด ไม่ให้เป็นหนามยอกอกในภายหลัง!” ฮ่องเต้น้อยถามอย่างแค้นเคือง
“เจี่ยนเอ๋อร์ เจ้าต้องจำไว้ให้มั่น สิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุดในโลกนี้คือใจคน วิถีแห่งคนซับซ้อนแพรวพราว ไม่ว่าเมื่อไร ไม่ว่าเรื่องใด ทุกอย่างย่อมมีกฎเกณฑ์ของมันเสมอ ก่อนกระทำควรสอนสั่งอย่างมีคุณธรรม หลังกระทำควรตกรางวัลตามความชอบ ลงโทษตามความผิด เช่นนี้แล้วถึงจะสร้างความเป็นปึกแผ่น ปกครองผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ เจ้าเคยอ่านคำกล่าวนี้กระมัง” เขามองฮ่องเต้น้อย
ซู่เจี่ยนตอบ “คำกล่าวในตำราจารีต”