ฮ่องเต้น้อยงึมงำเบาๆ เห็นชัดว่าไม่เชื่อคำอธิบายของผู้เป็นอา “…ข้าไม่ได้พูดเองเสียหน่อย ข้างนอกเขาลือกันทั้งนั้นว่าที่นางยังไม่ออกเรือนจนทุกวันนี้เพราะรอเสด็จอาสาม…”
เด็กหนุ่มตาไว พอเห็นฝ่ายตรงข้ามขมวดคิ้วก็รีบหุบปากทันที
“เจี่ยนเอ๋อร์ เจ้าจำไว้ให้มั่น” ซู่เซิ่นฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม่ทัพใหญ่เจียงเป็นแม่ทัพนามอุโฆษของต้าเว่ย แม้ข้าจะไม่เคยเห็นหน้าบุตรสาวเขา แต่เชื่อว่านางต้องอยู่ในระดับที่คนทั่วไปเทียบไม่ติด จะปฏิบัติต่อนางอย่างขอไปทีไม่ได้ เจ้าปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ต่อไปก็ต้องปฏิบัติต่อนางเช่นนั้น จงอย่ามีใจดูหมิ่นนางแม้แต่นิดเดียว”
“เข้าใจแล้วขอรับ…” ฮ่องเต้น้อยงึมงำเสียงอู้อี้
อ๋องผู้สำเร็จราชการเหลือบตามองเงาแดด “ได้เวลาแล้ว ข้าควรกลับเมืองหลวงเสียที เจ้าเองก็ต้องกลับวังหลวงเช่นกัน ไปกันเถิด”
นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสออกมาข้างนอก ตอนนี้ต้องกลับเสียแล้ว ซู่เจี่ยนไม่อยากกลับเอาเสียเลย แต่ก็เข้าใจดีว่าวันนี้สถานการณ์ไม่ปกติ ตอนเช้าเกิดเหตุใหญ่ร้ายแรง เวลานี้แม้จะควบคุมเหล่าขุนนางคนสำคัญในเมืองหลวงที่มีส่วนเกี่ยวข้องไว้ได้แล้ว เสด็จอาสามก็ยังต้องกลับไปอยู่ดี
ระหว่างกำลังอ้อยอิ่ง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินลิ่วๆ เข้ามาจากด้านนอก ที่อยู่หน้าสุดคือหลิวเซี่ยง มีทหารรักษาพระองค์ตามมาข้างหลัง
หลิวเซี่ยงเห็นฮ่องเต้น้อยในปราดเดียว มาอยู่กับอ๋องผู้สำเร็จราชการอย่างที่คิดจริงๆ เห็นดังนั้นก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วตั้งสติสืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ชิงคุกเข่าขอรับโทษก่อน “กระหม่อมถวายอารักขาระหว่างทางบกพร่อง ขอฝ่าบาทและอ๋องผู้สำเร็จราชการโปรดทรงลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ที่แท้เมื่อครู่หลังจากที่เขาไล่ตามขบวนเสด็จทัน ฮ่องเต้น้อยลงจากรถม้าไปปล่อยเบา จากนั้นก็กลับขึ้นรถม้า ออกเดินทางต่อไปได้สักพักเขาสังเกตเห็นว่าข้ารับใช้ที่เดินตามรถม้าอยู่ข้างนอกหายไปคนหนึ่ง พอนึกถึงพฤติกรรมชอบแอบหนีที่ผ่านมาของฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยก็เอะใจสงสัย จึงเดินไปข้างรถม้า หาเรื่องมาไถ่ถามเพื่อเจรจาโต้ตอบกับคนในรถม้า ปรากฏว่าคนข้างในเอาแต่นิ่งเงียบอยู่นาน เขารู้ว่าผิดปกติแน่แล้ว จึงออกคำสั่งให้หยุดขบวน เมื่อเปิดประตูรถม้าออก ฮ่องเต้น้อยก็หายไปจริงๆ มีเพียงข้ารับใช้สวมฉลองพระองค์ชุดนั้นนั่งคุกเข่าหน้าซีดเป็นศพตัวสั่นพั่บๆ อยู่ในรถม้า
เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางที่ติดตามแตกตื่นกันยกใหญ่ คาดเดากันไปต่างๆ นานา หลิวเซี่ยงรายงานเหตุแก่หลันไทเฮาที่โดยสารรถม้าคันข้างหน้า ไทเฮาถึงเพิ่งทราบว่าโอรสแอบหนีขบวนกลางทาง ทั้งโกรธทั้งโมโห ถึงกับสั่งให้ประหารข้ารับใช้ที่กล้าหมิ่นเบื้องสูงเสียตรงนั้น แต่หลิวเซี่ยงเอ่ยวาจาทัดทานว่าวันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ไม่ควรให้มีเลือดตกยางออก ถึงสามารถช่วยชีวิตข้ารับใช้คนดังกล่าวให้รอดมาได้ เขาสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาอารักขาไทเฮากลับเข้าวังหลวงก่อน ส่วนตนเองรีบย้อนกลับมาตามหาฮ่องเต้น้อย
ฮ่องเต้น้อยปลอดภัยก็จริง แต่เช้าวันนี้ตนบกพร่องในหน้าที่อย่างร้ายแรงติดกันถึงสองครั้ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายามนี้สภาพจิตใจของหลิวเซี่ยงเป็นอย่างไร
ดีที่อ๋องผู้สำเร็จราชการเหมือนจะไม่ติดใจเอาเรื่อง แค่หันไปมองฮ่องเต้น้อยทีหนึ่งตอนได้ยินว่าหลันไทเฮาสั่งประหารข้ารับใช้ผู้นั้นด้วยแรงโทสะ
ฮ่องเต้น้อยก้มหน้า
“ฝ่าบาท เสด็จกลับเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
คราวนี้ซู่เจี่ยนเดินหน้าม่อยคอตกนำออกไปก่อนโดยไม่กล้าถ่วงเวลาอีก อ๋องผู้สำเร็จราชการเดินออกไปเป็นคนที่สอง จากนั้นหลิวเซี่ยงถึงค่อยรีบลุกขึ้นจากพื้น นำผู้ใต้บังคับบัญชาติดตามไป
ทุกคนเดินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าค่อยๆ แผ่วลงจนไม่ได้ยิน เหลือเพียงความเงียบสงัดทั่วบริเวณ
สายลมฤดูใบไม้ร่วงรำเพยเข้ามาจากหน้าต่างทางทิศใต้ ใบไม้เหลืองแห้งปลิวว่อน ก่อนจะร่อนลงพื้นเงียบๆ
ณ มุมลึกมืดสลัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของหอคัมภีร์ แมงมุมตัวนั้นพยายามไต่ขึ้นไปข้างบนจนในที่สุดก็พ้นหน้าต่างฉลุลายกลับไปอยู่บนแท่นวางพระคัมภีร์อีกครั้ง เหนือขึ้นไปอีกนิดคือใยที่ขาดกลาง อนิจจาที่ใยเส้นนั้นแกว่งไปแกว่งมาในอากาศตามแรงลม มันตะกายไปหาใยนั่นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็คว้าได้เพียงอากาศเปล่าๆ ทุกครั้ง กระนั้นก็ยังตั้งหน้าตั้งตาต่อไปเหมือนจะพยายามจนตัวตาย
ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมานิ่งค้างข้างมัน เฝ้ารอเงียบๆ จนแมงมุมน้อยไต่ขึ้นนิ้ว ก่อนที่มือข้างเดิมจะยกขึ้นไปจ่อให้ตรงปลายใยที่ขาดกลางเบาๆ
เจ้าแมงมุมได้โอกาสคว้าหมับ ไต่ใยขึ้นไปข้างบนเร็วรี่จนกลับมาอยู่กลางรัง ทรงตัวให้มั่นคง แล้วสาละวนพ่นใยชักใยต่ออย่างไม่ยอมหยุดพักแม้อึดใจเดียว