บทที่ห้า
ราวกับอากาศรอบตัวหยุดนิ่งไม่ไหวติง
สีหน้าของเซี่ยฉางเกิงบึ้งตึงไปเล็กน้อย แต่แค่ชั่วครู่เดียวก็กลับเป็นปกติ
เขาลุกขึ้นจับอาภรณ์ให้เข้าที่
หนนี้เขาไม่นั่งบนตั่งอีก เสียงพูดไม่มีร่องรอยของโทสะสักกระผีก ดูท่าทางไม่ถือสาหาความที่หญิงสาวกระทำกิริยาล่วงเกินตนเองเมื่อครู่นี้แต่อย่างใด
“เจ้าโกรธเคืองก็สมควรอยู่” เขากล่าว
“เจ้าอยู่ที่สกุลเซี่ยของข้ามาครึ่งปีกว่านี้ ดูแลปรนนิบัติท่านแม่ทุกวันก็แสนจะเหนื่อยยากลำบากแล้ว แน่นอนว่าความตั้งใจแรกของท่านแม่เพื่อทดแทนบุญคุณของสหายเก่า แต่นางตัดสินใจจะช่วยรับอนุให้ข้าเองนั้นไม่เหมาะควรจริง ว่ากันถึงความเป็นความกุลสตรีและเข้าใจชีวิต…”
“เซี่ยฉางเกิง ท่านคิดมากไปแล้ว”
มู่ฝูหลันตัดบทเขา นางลุกลงจากตั่งคนงาม สอดเท้าเปลือยเปล่าเข้าไปในรองเท้าผ้าปักลายดอกกล้วยไม้ฝีมือประณีตที่วางอยู่บนพื้นหน้าตั่ง จากนั้นเดินไปนั่งลงบนตั่งนั่งเล่นบนพรมด้านหน้าคันฉ่อง
นางส่องคันฉ่องพลางถือหวีกระคอยสางผมยาวๆ ช่อหนึ่งที่ถูกเขาทำยุ่งเหยิงไปเรื่อยๆ ปากก็พูดว่า “ข้าทั้งไม่เป็นกุลสตรี ทั้งไม่เข้าใจชีวิต เหตุผลที่ดูแลปรนนิบัติมารดาของท่าน เพียงทำตามคำสั่งสอนในกาลก่อนของท่านพ่อ ข้าคิดคำนึงว่าในเมื่อออกเรือนไปแล้ว ถึงไม่เต็มใจปานใดก็จำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด แค่เท่านั้นเอง”
เซี่ยฉางเกิงมองแผ่นหลังของหญิงสาวครู่หนึ่งแล้วย่างเท้าเข้าไปหยุดยืนข้างหลังนาง สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้างามละไมในคันฉ่องพลางกล่าว “มู่ซื่อ เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่ถึงยอมตามข้ากลับไป”
ประโยคนี้เขาแทบจะพูดเน้นทีละคำๆ น้ำเสียงไม่หลงเหลือร่องรอยอ่อนโยนเช่นก่อนหน้าอีกต่อไป
มือของมู่ฝูหลันที่ถือหวีไว้หยุดชะงัก
นางช้อนตามองเงาสะท้อนของบุรุษในคันฉ่องที่ยืนจ้องนางตาเขม็งอยู่ข้างหลัง
เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว นางรับรู้ถึงจุดนี้ได้
กลีบปากของนางแย้มออกเป็นรอยยิ้ม
“ท่านพี่เซี่ย ทั้งที่ท่านไม่พอใจข้าอย่างยิ่ง เมื่อครู่ไฉนต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วยเล่า พูดเปิดอกอย่างชัดเจนเช่นนี้ไม่ดีกว่าหรือไร”
เซี่ยฉางเกิงมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นางวางหวีลงเบื้องหน้าคันฉ่อง ลุกขึ้นหมุนกายไปประจันหน้ากับเขา
“เมื่อท่านถามอย่างตรงไปตรงมา ข้าก็ขอตอบตามตรงว่าข้าจะไม่กลับสกุลเซี่ยของท่านอีกแล้ว เมื่อแรกล้วนเป็นเพราะความต้องการของท่านพ่อ ข้าถึงจำยอมออกเรือนไปกับท่าน ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ชีวิตคนแสนสั้น พึงตักตวงความสุขไว้ดีกว่า แล้วข้าจะฝืนใจตนเองเช่นนี้ไปไย”
ใบหน้าเซี่ยฉางเกิงมีแววประหลาดใจผุดขึ้นวูบหนึ่งจนแทบจับสังเกตไม่ได้
เขามองนางอย่างพินิจ สีหน้าท่าทางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดขึ้น
“มู่ซื่อ ข้าขอเตือนความจำเจ้าสักคำ นับแต่ท่านพ่อเจ้าตอบตกลงเรื่องการแต่งงาน หลายปีที่ผ่านมาข้าแน่ใจว่าตนเองรักษาวาจา มิได้กระทำอันใดที่เป็นการผิดสัจจะ แม้ท่านแม่ข้าจะสร้างความไม่พอใจให้เจ้า แต่เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงเสียหน่อย ยิ่งกว่านั้นข้าก็ขอขมาต่อเจ้าและให้คำมั่นแล้ว ทว่าพวกเจ้าสองพี่น้องกลับตระบัดสัตย์ ผิดคำสัญญาโดยไร้เหตุผล ประพฤติตนเยี่ยงเด็กน้อย เห็นเป็นเรื่องเล่นสนุก หรือนึกว่าข้าเซี่ยฉางเกิงจะยอมให้พวกเจ้าสองพี่น้องบีบบังคับได้!”
ชายหนุ่มกล่าวจบแล้วตวัดสายตามองนางปราดหนึ่งคล้ายรู้ว่าเผลอตัวแสดงท่าทีโมโหไป ยามอ้าปากพูดอีกครั้ง น้ำเสียงก็นุ่มนวลลง
“มู่ซื่อ เจ้าเพิ่งย่างวัยสิบหกปีเต็มกระมัง อายุยังน้อยไม่รู้ความ ก็มีเหตุผลให้อภัยกันได้ แต่ระหว่างท่านพ่อกับพี่ชายของเจ้า คนใดคู่ควรให้เชื่อถือได้มากกว่า คนใดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวแคว้นฉางซามากกว่ากัน ในใจเจ้าสมควรรู้คำตอบดี เมื่อแรกที่ตกลงหมั้นหมายกัน พี่ชายของเจ้าก็มีอคติกับข้าอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้เขาคงพูดกล่อมให้เจ้าผิดคำสัญญา แต่เจ้าลองคิดดู ไม่ว่าพี่ชายจะดีสักเพียงใด เจ้าก็เป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง หรือว่าจะพึ่งพาอาศัยเขาไปได้ชั่วชีวิต? เจ้าทำตามความต้องการของท่านพ่อเจ้าเถอะ ตามข้ากลับไปดีกว่า วันหน้าข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”
มู่ฝูหลันมองบุรุษที่พูดจาหว่านล้อมตนอย่างมีน้ำอดน้ำทนคนนี้แล้ว ในใจบังเกิดความสะทกสะท้อนเหลือแสน