เกี้ยวรัดผมบนศีรษะของเขาหักเป็นสองท่อน เส้นผมที่มัดรวบขึ้นเก็บไว้ใต้เกี้ยวขาดสะบั้นทั้งปอยร่วงหล่นลงบนพื้น
ฮ่องเต้ไม่ขยับกาย เขามองดูบุตรชายตนเองลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
‘เสด็จพ่อ ข้าได้ยินว่าตอนท่านมีอายุเท่าข้าเคยลงมือฆ่าคนเพื่อแก้แค้นให้บิดา ถึงข้าจะไม่เอาไหน กระนั้นความมุ่งมั่นอยากแก้แค้นให้ท่านแม่หาได้น้อยหน้าเสด็จพ่อแม้สักเศษเสี้ยว ด้วยนิสัยแก่นแท้ของข้า ตอนนี้คงสังหารท่านไปแล้ว แต่ข้าเอาชีวิตท่านไม่ได้ ถ้าท่านตายไปแผ่นดินก็จะระส่ำระสายอีกครั้ง ข้ากลัวว่าข้าได้พบกับท่านแม่แล้วจะโดนนางตำหนิ
ท่านรับฟังเอาไว้ ตอนนี้ข้าตัดผมของท่านเปรียบได้กับสังหารท่าน ลูกฆ่าพ่อเป็นเรื่องผิดทำนองคลองธรรม นับจากนี้ไปข้าไม่มีบิดา ท่านเองก็ไม่มีบุตรคนนี้’
เขาใช้ปลายกระบี่เขี่ยเส้นผมดำสนิทปอยนั้นขึ้นจากพื้น หมุนกายเดินไปหน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮองเฮาแล้ววางมันบนโต๊ะบูชาโดยไม่มองฮ่องเต้ซ้ำอีก หลังจากเขาคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับแล้วลุกขึ้นยืนพูดเน้นทีละคำ เอ่ยถามกับป้ายวิญญาณ ‘ท่านแม่ ลูกกระทำเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่กันแน่’
ภายในโถงตำหนักไร้เสียงตอบ มีเพียงเสียงสะอื้นที่เพียรสะกดเก็บไว้ดังมาจากแม่นมมู่ที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง
เปลวไฟของดวงประทีปสะบัดไหวอย่างรุนแรง
เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบด้านอย่างช้าๆ พลางกล่าวอย่างวังเวงใจ ‘ท่านแม่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้ารู้สึกเสมอว่าท่านอยู่ข้างกายข้านี่เอง ข้าจำได้ว่าตอนเด็กเขามักไม่อยู่เรือน บางครั้งข้าตื่นขึ้นกลางดึก เห็นท่านแม่ยังลืมตาอยู่ ดูเดียวดายปานนั้น อันที่จริงวันนั้นท่านไม่สมควรให้แม่ทัพหยวนพาข้าหนีไปเลย ข้าไม่อยากให้ท่านจากไปอย่างโดดเดี่ยวคนเดียว ข้ากำลังจะตามไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแล้ว ต่อแต่นี้จะไม่แยกจากท่านแม่อีกต่อไป’
เขาหลับตาลงโขกศีรษะสุดแรง ก่อนจะยกดาบขึ้นปาดคอของตนเอง
‘ซีเอ๋อร์!’
ฮ่องเต้เบิกตาโพลงเปล่งเสียงคำรามลั่น ไม่รู้เขาเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ตะเกียกตะกายลุกจากพื้น ทะยานร่างไปหาเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นพร้อมกับแม่นมมู่
ทว่าสายเกินไปแล้ว
คมกระบี่กรีดผ่านลำคอ โลหิตสาดกระเซ็นใส่แท่นบูชา ดวงประทีปที่จุดสว่างตลอดเวลาดับวูบลงทันที
พริบตาเดียวภายในโถงกว้างใหญ่ก็ตกอยู่ในความมืดมิด เหลือแต่เสียงร้องตะโกนอย่างใจสลายของฮ่องเต้
ชั่วครู่ต่อมาข้ารับใช้ในวังซึ่งได้ยินเสียงผิดปกติก็ถือโคมไฟวิ่งกรูเข้ามาทางประตูตำหนัก พากันตกตะลึงพรึงเพริดกับภาพที่มองเห็น
ฮ่องเต้ผมเผ้ายุ่งเหยิงล้มกองอยู่หน้าป้ายวิญญาณของหยวนโฮ่ว กอดองค์ชายใหญ่ไว้ในอ้อมแขน ปากก็พูดพึมพำ ‘ซีเอ๋อร์ ไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากมา…แต่ไม่กล้ามา…’
กระบี่นอนสงบนิ่งอยู่บนพื้น หากคนทั้งสองเปื้อนเปรอะด้วยโลหิตแดงฉานไปทั้งร่าง
ความเจ็บปวดประหนึ่งลูกธนูเสียบทะลุหัวใจจู่โจมมู่ฝูหลันซ้ำอีกครั้ง
ร่างของมู่ฝูหลันค่อยๆ อ่อนยวบเอนล้มลง
นางหลับตาสนิท งอเข่ากอดตนเองแน่นๆ นอนฟุบบนตั่งแน่นิ่งไม่ไหวติง
แม่นมมู่ซึ่งรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวายใจพลันเห็นประตูเปิดผลัวะ เซี่ยฉางเกิงก้าวออกมา นางเดินตรงรี่เข้าไปจะอ้าปากพูด กลับเห็นเขาสาวเท้าปราดๆ ออกไปด้วยสีหน้าขุ่นมัว นางไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น แต่ไม่มีแก่ใจคำนึงถึงชายหนุ่ม รีบหมุนกายเข้าไปข้างในดูว่าท่านหญิงของนางเป็นอย่างไรก่อน