หยางกงกงมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตัวมู่ฝูหลันชั่วอึดใจก่อนโอภาปราศรัยกับนาง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “แรกเริ่มองค์ไทเฮาทรงรำลึกถึงอดีต ต่อมาทรงทราบว่าพวกท่านมีวาสนาได้เป็นสามีภรรยากัน จึงมีพระประสงค์อยากเรียกตัวท่านหญิงเข้าวังเพื่อพบปะพูดคุยกันนานแล้ว ครั้งนี้ทรงได้ข่าวว่าท่านหญิงสุขภาพไม่ใคร่ดีแล้วไม่วางพระทัย เลยส่งคนพาหมอหลวงไปตรวจอาการให้เป็นพิเศษ เคราะห์ดีที่ไม่เป็นไร เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว อีกอย่างทรงทราบว่าผู้บัญชาการเซี่ยมีงานรัดตัวปลีกเวลาว่างไม่ได้ ถึงรับท่านหญิงมาที่นี่เสียเลย ท่านทั้งสองเดิมทีเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่ครบปี ดูทีว่าคงไม่เต็มใจอยู่ห่างจากกันเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นผู้บัญชาการเซี่ยยังจากเรือนไปในคืนเข้าหอเพื่อปราบกบฏ องค์ไทเฮาทรงไม่สบายพระทัยเรื่อยมา หนนี้ก็นับว่าได้ส่งเสริมผู้อื่นให้สมดังหวังแล้ว”
มู่ฝูหลันไม่กล่าววาจา แสร้งทำท่าขัดเขิน
เซี่ยฉางเกิงยกยิ้มกล่าวขึ้น “หยางกงกงกล่าวได้ถูกต้อง ข้าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณขององค์ไทเฮาอย่างยิ่ง”
ระหว่างที่สนทนากัน ทั้งหมดก็มาถึงตำหนักด้านใน
มู่ฝูหลันเดินหลุบตาไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหลิวไทเฮาพร้อมกับเซี่ยฉางเกิงและคุกเข่าลงคำนับ
เซี่ยฉางเกิงกล่าวขอบพระทัยหลิวไทเฮา นางมองดูคนทั้งคู่พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเซี่ย ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้าแล้ว พวกท่านสามีภรรยาได้อยู่พร้อมหน้ากัน ข้าปลื้มปีติเหลือเกิน ตอนเด็กฝูหลันเคยอยู่ในวังนานครึ่งปีเศษ ตอนนั้นข้าก็ชมชอบนางอย่างมาก ข้ารู้ว่าท่านยังมีงาน ท่านไปก่อนเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฝากนางไว้กับข้าได้อย่างวางใจ พอรำลึกความหลังกันจบข้าจะส่งภรรยาคนงามของท่านกลับไปให้เอง”
คำกล่าวของหลิวไทเฮาแฝงน้ำเสียงแกมเย้าหยอกตามประสาผู้อาวุโสกว่า นางพูดจบแล้วใช้สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเซี่ยฉางเกิง
เขาไม่มีท่าทีมากนัก เพียงยิ้มน้อยๆ เป็นเชิงเห็นดีเห็นงาม หลังจากคำนับขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วจึงลุกขึ้นถอยออกไป
ในห้องเหลือแค่หลิวไทเฮา มู่ฝูหลัน และหยางกงกงคนนั้น
มู่ฝูหลันรับรู้ได้ฉับพลันว่าท่าทีของหลิวไทเฮาเปลี่ยนแปลงไป
ใบหน้านางฉาบรอยยิ้มดังเก่าขณะสนทนากับตน ท่วงท่ากิริยาไม่มีการวางอำนาจบารมีน่าเกรงขามเช่นไทเฮาของแผ่นดินพึงเป็นให้เห็นแต่อย่างใด สีหน้าก็อ่อนโยนเป็นมิตร กระนั้นมู่ฝูหลันมองออกได้ชัดว่านับแต่เซี่ยฉางเกิงไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของนางไม่เคยคลาดคลาจากตนเลย
หญิงสาวรู้ว่าหลิวไทเฮากำลังจับสังเกตตนเองอยู่ สายตาคมกริบคู่นั้นของนางต้องไม่ยอมปล่อยให้แววตาและอากัปกิริยาเล็กน้อยใดๆ ของตนหลุดรอดไปได้เด็ดขาด
ถึงแม้ไม่มีถ้อยคำเมื่อครู่ของเซี่ยฉางเกิง มู่ฝูหลันก็รู้ว่านี่มิใช่เวลาที่นางจะสำแดงความฉลาดหัวไวออกมา แต่นางจะกระทำตัวให้ดูเบาปัญญาเกินไปก็ไม่ได้อีก อย่างนั้นมีแต่จะสร้างความระแวงสงสัยให้อีกฝ่าย
มากไปน้อยไปล้วนไม่ดี นางเข้าใจเหตุผลข้อนี้ดี
นางตอบคำถามของหลิวไทเฮาไปทีละเรื่องๆ
ไม่แสดงความฉลาดเจ้าปัญญา แต่ไม่ถึงกับโฉดเขลาเกินไป เป็นสตรีธรรมดาๆ ที่ได้รับการเลี้ยงดูทะนุถนอมจากครอบครัวจนเติบใหญ่ ยังอ่อนต่อโลกและไม่มีอะไรโดดเด่นเหนือใคร
หลิวไทเฮาคุยกับมู่ฝูหลันไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามว่านางคิดถึงอาหญิงหรือไม่
พอมู่ฝูหลันพยักหน้า หลิวไทเฮาก็พระราชทานพระเมตตาแก่นาง บอกให้ขันทีพานางไปที่ศาลบูชาของมู่ฮองเฮาก่อน