มู่ฮองเฮาเป็นฮองเฮาพระองค์แรกของอดีตฮ่องเต้ เมื่อแรกที่สวรรคต ป้ายวิญญาณย่อมตั้งอยู่ในศาลบรรพกษัตริย์เป็นธรรมดา ทว่าหลายปีต่อมาเหตุเพลิงไหม้ครั้งหนึ่งเผาผลาญตำหนักที่ตั้งป้ายวิญญาณของนางจนพังเสียหาย หลังจากนั้นทางกรมพิธีการวางแผนสร้างขึ้นใหม่ แต่ถูกชะลอไว้ด้วยสาเหตุต่างๆ นานา ส่งผลให้เริ่มงานก่อสร้างไม่สำเร็จมาโดยตลอด นานวันเข้าก็ไม่มีใครยกมาเป็นธุระอีก
เพลานี้ป้ายวิญญาณของมู่ฮองเฮายังคงวางไว้ที่ตำหนักหลัง ซึ่งเป็นศาลบูชาของพวกสนมชายาที่ได้เลื่อนพระอิสริยยศสูงกว่าสมัยมีพระชนม์ชีพอยู่
หยางกงกงพามู่ฝูหลันเดินเข้าไปในตำหนักที่วิเวกวังเวงหลังนั้น นางคุกเข่าอยู่หน้าป้ายวิญญาณของอาหญิงจุดธูปกราบไหว้
ตอนนางกลับมาอยู่ตรงหน้าหลิวไทเฮา หางตายังแดงเรื่อ
หลิวไทเฮาทบทวนความทรงจำถึงเรื่องเก่าๆ ในครั้งนั้นของมู่ฮองเฮากับนางแล้วกล่าวทอดถอนใจด้วยสีหน้าสะทกสะท้อน “คิดไปแล้วเมื่อครั้งที่อาหญิงเจ้าเป็นมารดาของแผ่นดิน ข้ามีตำแหน่งเป็นกุ้ยเฟยเท่านั้น พอนึกไปถึงคุณงามความดีนานัปการของนาง ข้ายังจดจำได้จนทุกวันนี้คล้ายเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน น่าเสียดายที่สวรรค์ริษยาหญิงงามถึงให้นางด่วนจากไป ข้ากับอาหญิงเจ้าใกล้ชิดกันดุจพี่น้อง วันหน้าเจ้าใฝ่ฝันปรารถนาสิ่งใด บอกข้ามาได้เต็มที่”
มู่ฝูหลันทำตาแดงๆ สีหน้าตื้นตัน นางทรุดตัวลงคุกเข่าเบื้องหน้าไทเฮาดังตุบ
“ไทเฮา หม่อมฉันขอบังอาจกราบทูลว่าป้ายวิญญาณของอาหญิงพึงควรตั้งอยู่ในตำหนักหน้า แต่ได้ยินว่างานซ่อมแซมโถงพิธีในภายหลังล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กรมพิธีการบอกว่าเพราะผู้ที่ร่วมรับการเซ่นไหว้ไม่สมพงศ์กันเป็นเหตุถึงได้ผัดผ่อนเรื่อยมาเพคะ
พวกเขาต้องเข้าใจผิดแน่ๆ อาหญิงจะมีดวงชะตาอัปมงคลได้เช่นไร ไทเฮาทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา โปรดทรงดำริวิธีช่วยย้ายอาหญิงกลับไปยังตำหนักหน้าเถิด จะเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่งเพคะ” ว่าแล้วนางก็น้ำตาไหลพรากๆ
หลิวไทเฮารับคำทันทีว่าตนเองจะคิดหาหนทาง จากนั้นบอกให้มู่ฝูหลันลุกขึ้นแล้วกล่าวปลุกปลอบ นางถึงยิ้มทั้งน้ำตา
วันนี้นางถูกหลิวไทเฮารั้งตัวไว้จนเย็นย่ำ ยังให้นางร่วมโต๊ะพระกระยาหารก่อนเรียกคนส่งนางออกจากวัง
ในฤดูหนาวเวลากลางวันสั้น ตอนมู่ฝูหลันกลับถึงเรือน ท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว
เซี่ยฉางเกิงยังไม่กลับมา นางเข้าห้องแล้วเบนสายตาไปมองจุดที่ห้อยกระบี่ไว้เมื่อวาน แต่มันหายไปแล้ว น่าจะเป็นเซี่ยฉางเกิงเอาไปเก็บ
นางยืนอยู่กับที่จ้องมองผนังว่างเปล่าด้านนั้นครู่หนึ่ง เมื่อกลางวันนางต้องเผชิญหน้ากับการหยั่งเชิงสารพัดของหลิวไทเฮาในวังหลวงแล้วได้แต่ตีหน้าซื่อทำไขสือ ชั่วเสี้ยวขณะนี้อารมณ์อันหลายหลากที่สะกดเก็บไว้ในใจตอนนั้นพลันประดังประเดเข้ามาประหนึ่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลท่วมตัวนางจนมิด
ราตรีก่อนนางไม่ได้นอนทั้งคืน ตอนกลางวันยังต้องระแวดระวังตัวและเสแสร้งแกล้งทำเป็นเวลานาน นางรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน หลังชำระกายในน้ำร้อนเสร็จออกมาก็เข้านอนแต่หัวค่ำ
แต่พอหลับตาลง นางก็คิดถึงซีเอ๋อร์ของนางอีกแล้ว
เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นที่นางลืมตาฟื้นคืนชีพมา แทบจะไม่มีคืนใดที่นางไม่ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความรู้สึกโหยหาถึงซีเอ๋อร์จับใจ
ทุกครั้งที่ได้พบกับซีเอ๋อร์ในความฝันแล้วตื่นขึ้น ความเจ็บปวดรวดร้าวและความคับแค้นโกรธเคืองเซี่ยฉางเกิงก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
ถึงแม้ตนเองในภพก่อนจะจบชีวิตในสภาพน่าอเนจอนาถตั้งแต่วัยสาว ทว่าช่วงเวลาสิบปีอันยาวนานที่สิงสถิตอยู่ในโคมประทีปดวงนั้น เทียบกับการคับแค้นโกรธเคืองในความใจไม้ไส้ระกำของสามีแล้ว นางยังรู้สึกชิงชังตนเองมากกว่า
เพราะเขาเป็นคนเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก
เขาอาจเคยแสดงความอ่อนโยนและรักใคร่ต่อนางในคืนแรกที่เขากับนางร่วมเรียงเคียงหมอนกันเมื่อชาติที่แล้ว บางทีมันอาจมาจากใจจริงก็ได้
เขาอาจไม่เคยลืมเลือนบุญคุณที่ฉางซาอ๋ององค์เดิมช่วยส่งเสริมเกื้อหนุนจริงๆ
เขาอาจเคยรู้สึกผิดอยู่เหมือนกันในชั่วขณะที่มองเห็นสภาพศพในวาระสุดท้ายของนางกับตาวันนั้น
แต่มันก็จบเพียงเท่านั้น