“เจ้าจะให้ข้าไปดูอะไรกันแน่” ฉู่เหิงจืออดสงสัยไม่ได้
“ค่ายอูเจียง”
นางเอ่ยอย่างผ่อนคลาย ทว่าเขากลับฟังด้วยความตกตะลึง
ค่ายอูเจียงก็คือกลุ่มโจรภูเขาที่ถูกทหารปราบปรามในครั้งนั้น ทว่าค่ายอูเจียงเป็นเพียงชื่อเรียก อันที่จริงจนถึงป่านนี้พวกทหารยังหาสถานที่ตั้งค่ายไม่พบ ด้วยเหตุนี้แม้ว่าพวกโจรจะถูกปราบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกปราบเสียราบคาบ
ฉู่เหิงจือจ้องนางอย่างแปลกใจ เขารู้เพียงว่านางติดต่อกับพวกโจรภูเขาในค่ายอูเจียง แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะรู้แม้กระทั่งสถานที่ตั้งค่าย
ครั้นกวนอวิ๋นซีเห็นเขาตะลึงนางก็ยิ้มยั่ว
“ไม่กล้าไปหรือ”
ผู้คนภายนอกลือกันว่าโจรภูเขาในค่ายอูเจียงชั่วช้าสามานย์ กินเลือดคน ควักอวัยวะภายใน ข่มขืนสตรี เผาคน ปล้นชิง ล้วนแล้วแต่เป็นปีศาจไร้หัวใจ หากใครหลุดเข้าไปในค่ายอูเจียงก็จะไม่เหลือแม้กระทั่งศพและโครงกระดูก ดังนั้นพอนางเห็นสีหน้าเขา นางจึงถามเขาอย่างเย้าแหย่
“ปากว่าไม่เท่าตาเห็น” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบ
นางยกนิ้วโป้งให้ทันที
“มิเสียแรงที่เป็นคุณชายใหญ่ของเสนาบดีกรมอาญา รู้ว่าข่าวที่ลือออกไปไม่เป็นความจริง ไม่ใช่ใครว่าเป็นลมเป็นฝนก็เชื่อไปเสียหมด ปัญญาเฉียบแหลมยิ่ง”
หลังจากฉู่เหิงจือเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เขาก็มองไปเบื้องหน้าด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
พวกเขามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง กำแพงหินที่ล้อมรอบหุบเขาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ละแวกนั้นยังมีน้ำตก ด้วยเหตุนี้จึงมีไอน้ำรวมตัวกันทำให้มองไม่เห็นทางเข้าออกของถ้ำหรือประตูหิน จนกระทั่งโซ่วโหวและพั่งหู่ผิวปาก กำแพงหินที่เดิมทีไม่มีร่องรอยอะไรเลยนั้นกลับเคลื่อนตัวออก
เขาเห็นศีรษะโผล่ออกมาท่ามกลางกำแพงหินที่มีหญ้าและต้นไม้นานาชนิด แต่ละคนกำหอกหลาวและธนูไว้ ใบหน้าทาสีเขียวคล้ายต้นหญ้า แววตาราวเพลิงลุกโชนกำลังจ้องมาที่พวกเขา
ที่แท้พวกเขาก็เข้ามาในอาณาเขตของค่ายอูเจียงนานแล้ว
ฉู่เหิงจือแอบประหลาดใจ ที่แท้ที่ตั้งของค่ายอูเจียงก็ไม่มีประตู พวกทหารจึงหาประตูไม่พบ
โซ่วโหวยื่นมือทั้งสองข้างออกไป ทำไม้ทำมือไปทางคนเฝ้าประตูด้านบนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพวกเขา
ฉู่เหิงจือกระซิบถามนาง “พวกเขาทำไม้ทำมืออะไร”
เดิมทีเขาถามเป็นการหยั่งเชิง คิดไม่ถึงว่านางจะตอบได้
“รออีกสักครู่ให้คนที่ชื่อว่าสยงไห่ออกมารับพวกเรา”
“เขาคือใคร”
“เป็นคนดูแลทุกอย่าง ตำแหน่งเขาอยู่รองจากหัวหน้าลงไป”
รอเพียงชั่วประเดี๋ยวก็มีคนไต่เถาวัลย์ลงมา บุรุษผู้นี้มีหนวดเคราเฟิ้ม รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พอเขาลงมาถึงพื้นดินก็ถีบโซ่วโหวและพั่งหู่ไปคนละทีโดยไม่พูดไม่จาอะไร
“ให้พวกเจ้าไปตรวจสอบ แต่พวกเจ้ากลับพาคนนอกเข้ามาตามอำเภอใจ สารเลว!”
โซ่วโหวและพั่งหู่ถูกถีบจนร้องโอ๊ย พอเห็นสยงไห่ก็ตัวลีบลงราวกับหนูเจอแมว ไม่กล้าที่จะเอาคืน
หลังจากที่บุรุษหนวดเคราเฟิ้มถีบสองคนนั้นแล้วก็ถลึงตาอย่างดุดันมาทางพวกเขาทันใด ตะโกนสั่งเสียงดังก้อง “จับพวกเขาเสีย!”
ฉู่เหิงจือตีหน้าขรึม เขาแผ่อำนาจออกมาทั่วร่างจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
“อาสยง จนกระทั่งยามนี้ท่านยังคงอารมณ์ร้อนเหมือนหมี ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด!” กวนอวิ๋นซียิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่เกรงกลัวอำนาจอีกฝ่ายสักนิด
สยงไห่ตะลึงโดยพลัน ถลึงตามองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า
“อย่านึกว่าเจ้าเรียกข้าว่าอาสยงแล้วจะเชื่อมสัมพันธ์ได้ สองคนนี้โดนเจ้าหลอกด้วยคำหวานเพียงไม่กี่ประโยค แต่ข้าไม่ไร้เดียงสาเช่นนั้น นึกว่าเรียกชื่อพวกเราถูกแล้วจะหลอกกินหลอกดื่มได้หรือ”
กวนอวิ๋นซีส่ายหน้า “อาสยง อย่าอารมณ์ร้อนอย่างนั้นสิ ระวังโรคเก่าจะกำเริบ หมอเหวินเคยบอกไว้ว่าห้ามท่านกินของเผ็ด ห้ามดื่มสุรา แล้วก็ห้ามใจร้อนด้วย!”
สยงไห่อึ้งไปในทันใด หน้าตาดุดันนั้นเผยสีหน้าคาดไม่ถึงออกมา เขามองตรวจสอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าใหม่อีกครั้ง เดินขึ้นหน้ามองลงมาที่นางอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่า
“เจ้าว่าเจ้าเป็นน้องสาวร่วมสาบานของหัวหน้า มีอะไรมาพิสูจน์”