บทที่ 6
กวนอวิ๋นซีคุ้นเคยกับกลิ่นหอมหวนของสุราหูจงเซียนยิ่ง แม้แต่ในความฝันนางยังจำกลิ่นได้
ครั้นได้กลิ่นหอมหวนของสุรา โลหิตทั่วทั้งร่างนางก็พลุ่งพล่าน นางแสดงวิชาตัวเบากระโจนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่แล้วมองไปรอบตัว แค่ชั่วขณะเดียวก็แลเห็นเป้าหมาย
คนแซ่ฉู่นั่งอยู่บนหลังคา กอดไหสุราของนางเอาไว้ กำลังดื่มอย่างสบายใจ
นางกระโจนตัวไปทันที ปลายเท้าแตะกิ่งไม้ สูดหายใจลึกๆ พลางพุ่งทะยานไปตามที่มาของกลิ่น
ครั้นฉู่เหิงจือเห็นว่านางกระโจนร่างมาทางนี้ มุมปากก็โค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขารู้ดีว่าขอเพียงเปิดจุกไห กลิ่นอันหอมหวนนี้ก็จะหลอกล่อแมวที่ตะกละตะกลามได้
เรือนผมนางยาวสยายไปตามสายลม ดวงตาสุกสกาวราวดวงดารา อาภรณ์ปลิวสะบัดราวกับอาภรณ์หลากสีของเทพธิดา
ครั้นมองร่างที่งดงามปราดเปรียวของนาง จะไม่พูดก็ไม่ได้ว่ายามนางเดินเหินภายใต้แสงจันทร์นั้นชวนให้เขาตะลึงยิ่งนัก
ครั้นกวนอวิ๋นซีเหยียบลงบนหลังคา จู่ๆ นางก็ลื่น
“ว้าย…”
นางก้าวพลาด กำลังจะกลิ้งตกลงไปอยู่แล้ว ทว่ามีคนที่ว่องไวกว่าคว้ามือนางได้ทันเวลา ช่วยให้ร่างนางไม่กลิ้งลงไป แต่กลับแกว่งไกวอยู่กลางอากาศ
กวนอวิ๋นซีแหงนหน้าขึ้น ฉู่เหิงจือคว้ามือนางไว้แน่น นางก็ยืมแรงนั้นพยายามปีนขึ้นไป ในที่สุดก็ขึ้นไปบนหลังคาได้สำเร็จ
“ขอบคุณนะ”
นางก็ไม่เกรงใจ หย่อนก้นลงนั่งข้างกายเขา ยื่นมือไปคว้าชามของเขาแล้วตักสุราในไหกรอกใส่ปากอึกใหญ่เพื่อปลอบโยนความตะกละตะกลามของตนเอง
ครั้นสุราแรงไหลลงสู่ลำคอนางก็รู้สึกชื่นใจยิ่งนัก ความร้อนแรงแผดเผาไปจนถึงในท้อง นางถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ถึงอกถึงใจจริงๆ!” หลังจากที่นางถอนหายใจก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วโอดครวญ “ไยไม่มาให้เร็วหน่อย ข้าคิดถึงจะตายอยู่แล้ว”
ฉู่เหิงจือพลันตะลึงงัน เหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางดื่มแต่สุราด้วยสีหน้ากระหาย ในใจคิดว่าหากคนอื่นได้ยินวาจานี้จะต้องเข้าใจผิดแน่
แน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใครอื่น แล้วเขาก็รู้ดีว่าที่นางคิดถึงคือสุราไม่ใช่เขา
“ดื่มช้าๆ หน่อยจะได้ไม่เมา”
กวนอวิ๋นซีโบกมือ “วางใจ ข้าคอแข็งมากนะ ไม่แน่อาจจะคอแข็งกว่าท่านด้วยซ้ำ!”
“อ้อ ร้ายกาจเช่นนั้นเชียว?”
“นึกถึงตอนที่ข้า…” นางชะงักโดยพลัน เดิมทีนางอยากกล่าวว่าครานั้นนางแข่งกับพี่น้องในค่ายว่าใครคอแข็งกว่ากัน นอกจากน้องสามที่คอแข็งพอๆ กันกับนางแล้วก็ไม่มีใครสู้นางได้
ยามนั้นนางเป็นหัวหน้าใหญ่ในค่ายอูเจียง ทว่าในยามนี้นางคือกวนอวิ๋นซี บุตรสาวของผู้ตรวจการ จึงไม่อาจเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกไปได้
ครั้นนางเห็นฉู่เหิงจือยังคงเลิกคิ้วรอให้นางกล่าวต่อไปอยู่ นางก็แก้คำโดยพลัน “ไม่มีอะไร ดื่มสุราเถอะ” ครั้นกล่าวจบนางก็ตักสุราอีกชาม กลืนคำลงไปพลางพึมพำอยู่ในลำคอ
ฉู่เหิงจือคว้าชามมาจากมือนางแล้วก็ตักสุราดื่มชามหนึ่ง ขณะที่กำลังจะดื่มนั้นก็ได้ยินนางที่อยู่ด้านข้างเอ่ยว่า “เอ๊ะ? ท่านไม่ใช่มาส่งสุราให้ข้าหรือ ไยจึงดื่มของข้าเล่า”
ฉู่เหิงจือชะงัก เหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางกำลังจ้องมาที่ชามของตนราวกับว่าเขาดื่มสุราของนางไปอึกหนึ่ง คล้ายกับนึกเสียดายที่ส่วนของนางน้อยลงไป
“ไม่ใช่ ที่ข้าเอามาคือสุราของข้าต่างหาก สุราไหนั้นของเจ้าเก็บอยู่ในห้องของข้า”
กวนอวิ๋นซีถอนหายใจโล่งอก “ได้ยินท่านเอ่ยเช่นนี้ข้าก็วางใจ เช่นนั้นพวกเราก็ดื่มกันต่อเถิด!” นางคว้าชามมาจากมือเขาอีกครา จะตักสุรามาดื่มอีกชาม
ฉู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้น เลียนแบบน้ำเสียงของนาง “รอเดี๋ยว นี่คือสุราของข้า ไยเจ้าจึงมาดื่มของข้าล่ะ”
“อย่าตระหนี่นักเลย ข้าเชิญท่านดื่มแล้ว ทำดีมาก็ต้องทำดีตอบ ท่านมาเชิญข้าดื่มก็เป็นเรื่องสมควร”
“…” เขาพูดไม่ออกไปในทันใด