เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการชิงปล้นของโจรภูเขา ไม่ว่าจะเล็กจะใหญ่ พอนำมารวมกันแล้วก็มีถึงสามสิบกว่าคดี หลายคดีในนั้นรวมไปถึงการลักขโมยเกลือ อาวุธ ข้าวสารอาหารแห้งของทางการ รวมไปถึงสินค้าและเงินทองของพวกพ่อค้าด้วย ความเสียหายเหล่านี้รวมกันแล้วมีมูลค่าสามแสนกว่าตำลึง
ขุนนางท้องที่เป็นคนส่งคดีเหล่านี้มา ล้วนชี้เป้าไปที่โจรภูเขา
โจรปล้นชิงขุนนางท้องที่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกก็คือทุกคดีล้วนทำได้สำเร็จ จับตัวคนร้ายไม่ได้ โจรภูเขาที่ค่ายอูเจียงมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่ว ปล้นตั้งแต่ขุนนางท้องที่ไปถึงพ่อค้าผู้มั่งคั่ง ตอนแรกที่ได้ฟังก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร ทว่าพอสอบสวนอย่างละเอียดกลับพบความน่าสงสัยเต็มไปหมด
โจรภูเขาในค่ายอูเจียงร้ายกาจกำเริบเสิบสานเช่นนี้? คดีเหล่านี้ล้วนบ่งบอกว่าเป็นฝีมือของโจรภูเขาในค่ายอูเจียง แต่ที่น่าแปลกคือขุนนางท้องที่กลับจับตัวคนร้ายไม่ได้ หากจับได้ก็กลายเป็นศพแล้ว จับคนเป็นไม่ได้เลย
ในเมื่อคนตายแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบได้ รายงานเหล่านี้ล้วนเขียนโดยขุนนางท้องที่ว่า ‘เป็นการชิงปล้นของโจรจากค่ายอูเจียง’ แล้วก็รายงานไปตามนี้
เขาตั้งข้อสังเกตว่าหากคดีเหล่านี้ไม่ใช่ฝีมือของโจรภูเขาในค่ายอูเจียงทั้งหมดเล่า
หรือไม่ก็มีเพียงไม่กี่คดีที่เป็นเรื่องจริง ที่เหลือล้วนเป็นคดีที่สร้างขึ้นมา ข้าวของที่ถูกขโมยไปก็ล้วนเป็นฝีมือของโจรภูเขา ดังนั้นจึงไม่อาจสืบหาและนำข้าวของเหล่านั้นกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล เพราะเหล่าขุนนางยังสืบหารังของพวกโจรไม่พบเลย
ฉู่เหิงจือก้มหน้าครุ่นคิด หากมีบางอย่างเป็นจริงดังที่คาดเดาไว้ เช่นนั้นก็จะมีบางคนยัดคดีชิงปล้นให้โจรภูเขา เพราะเดิมทีโจรเหล่านั้นก็เป็นที่หมายหัวของทางการอยู่แล้ว เพียงแต่พวกโจรภูเขาเอาแต่หลบซ่อนมาตลอดจึงต้องกลายเป็นคนที่แบกหม้อดำดังนั้นข้าวของที่ถูกขโมยไปก็คล้ายกับเป็นก้อนหินที่จมอยู่ในทะเลลึก
ทว่าหากมีวันใดวันหนึ่งที่ปิดบังความลับนี้ต่อไปไม่ได้แล้วเล่า
ฉู่เหิงจือนึกประหลาดใจ จู่ๆ ก็มีคำพูดของกวนอวิ๋นซีผุดขึ้นมาในความคิด
‘โจรภูเขาในค่ายอูเจียงเตรียมจะสวามิภักดิ์ต่อทางการ และในวันนั้นเยี่ยเฟิงก็นำพาเหล่าพี่น้องในค่ายไปต้อนรับทหารเข้ามาในภูเขา ใครจะไปคิดว่าทหารเหล่านี้กลับไม่ได้มารับพวกเขา แต่มาฆ่าปิดปากต่างหาก’
วันที่พวกโจรยอมสวามิภักดิ์ก็คือวันที่โดนปราบ อันที่จริงจุดประสงค์ที่แท้จริงคือมาฆ่าปิดปาก
ฉู่เหิงจือยืนขึ้นด้วยความกระจ่างแจ้งโดยพลัน “เตรียมรถม้า!”
บ่าวที่ได้ยินคำสั่งตอบรับโดยพลันแล้วรีบไปจัดการ ฉู่เหิงจือเก็บรายงาน เขาออกจากเรือนมาขึ้นรถม้าแล้วออกคำสั่งว่า
“ไปจวนสกุลกวน!”
ครั้นพ่อบ้านได้ยินว่าคุณชายจะไปจวนสกุลกวนอีกก็อดประหลาดใจไม่ได้
คุณชายไม่อยากไปพบแม่นางกวนไม่ใช่หรือ ไยพอผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็รีบร้อนจะไปจวนสกุลกวนเสียแล้ว?
คนขับรถม้าดึงบังเหียนมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลกวน พอฉู่เหิงจือจากไปก็มีคนวิ่งแจ้นไปรายงานที่เรือนฝ่ายใน
ครั้นฉู่ฮูหยินได้ยินว่าบุตรชายกำลังจะไปหาคนสกุลกวนอีกก็พลันร้อนรนไปด้วยโทสะ
“ไม่ได้นะ ถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไปคงแย่แน่ ลูกชายข้าใจอ่อน แต่ข้าทนมองสตรีนางนั้นมาฉุดเขาให้ตกต่ำไม่ได้หรอก!”
แม่นมที่อยู่ข้างกายเดินขึ้นหน้ามาเพื่อทำให้ฮูหยินอารมณ์เย็นลง ขณะเดียวกันก็เอ่ยคล้อยตาม “ฮูหยินพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูสกุลกวนร้ายกาจนัก ใช้ความตายมาข่มขู่คุณชาย ส่วนคุณชายเองก็คำนึงถึงชื่อเสียงของตระกูล แต่ก็กลัวนายท่านจะโดนโจมตีและแฉจุดอ่อน ด้วยเหตุนี้จึงต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม หมายจะรักษาหน้าให้แก่ทุกฝ่าย จึงไปยังจวนสกุลกวนเพื่อปลอบโยนสตรีนางนั้น ลำบากคุณชายโดยแท้”
ฉู่ฮูหยินยิ่งฟังยิ่งโมโห “สตรีหน้าด้านไร้ยางอาย! ข้าจะไม่ยอมให้นางเหยียบเข้ามาในจวนสกุลฉู่เด็ดขาด!”
“ฮูหยิน ท่านจะต้องระวังคนชั้นต่ำไว้นะเจ้าคะ!”
เพราะฉู่เหิงจือกำชับฉู่ฮูหยินไว้ เดิมทีนางไม่อยากลงมือเอง ยังคงลังเลมาตลอด ยามนี้นางรอไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจหาจุดจบให้กับเรื่องนี้
“แม่นม ไปเตรียมรถม้า สั่งให้ไปรับตัวคุณหนูเปี่ยวมาเดี๋ยวนี้ แจ้งไปว่าข้าไม่ค่อยสบาย ต้องการให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนข้า”
ครั้นแม่นมได้ฟังก็เบิกบานใจยิ่งนัก ฮูหยินกำลังจะออกโรงเองแล้ว จึงรับคำสั่งอย่างยินดี “เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
รถม้าของฉู่เหิงจือออกจากจวนไปได้ไม่นาน รถม้าของฉู่ฮูหยินก็ออกจากจวนเช่นกัน