องครักษ์เสื้อแพรเคยพบรอยเลือดในลานบ้านของเรือนผู้มีอันจะกิน แล้วก็ได้รับข่าวว่ามีสตรีนางหนึ่งมาซื้อยารักษาอาการบาดเจ็บจากกระบี่ที่ร้านขายยา
เมื่อรวบรวมเบาะแสเหล่านี้แล้ว หร่านเจียงสงสัยว่าฝ่ายตรงข้ามคงไม่ได้มีเพียงคนเดียวแน่ถึงสามารถเล็ดลอดหูตาที่เขาวางไว้ได้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มค้นห้อง โดยเฉพาะในที่ที่อาจมีห้องลับหรือทางลับไว้ และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็หาจนเจอตามที่คาดไว้
เพียงแต่น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง พอเขารีบรุดไปถึง ห้องที่ซ่อนห้องลับไว้นั้นกลับกลายเป็นห้องว่างเปล่าเสียแล้ว ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นสมุนไพร บนพื้นยังทิ้งร่องรอยล้อรถและเท้าคนไว้ แสดงว่าฝ่ายตรงข้ามเร่งรีบออกเดินทางไปเมื่อครึ่งชั่วยามที่ผ่านมา
หร่านเจียงเดินตรวจตราภายในห้องรอบหนึ่ง ยื่นมือไปหยิบสายรัดเอวเปื้อนเลือดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเก็บได้ สีหน้าเขาโหดเหี้ยมเย็นยะเยือกราวปีศาจร้าย
ทันใดนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งก็มากระซิบกระซาบไม่กี่ประโยคข้างหู เขารีบหมุนกายออกจากห้องไปยังห้องโถงทันทีแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาย้ายมาให้
“นำตัวเขาเข้ามา” เขาออกคำสั่ง
“ขอรับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปตามคำสั่ง เพียงชั่วครู่ก็คุมตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้ามา คุกเข่าลงเบื้องหน้าหร่านเจียง
เจ้าหน้าที่ผู้นี้มีนามว่าหนิวเอ้อร์ เป็นคนที่ได้รับก้อนทองจากอี้แล้วปล่อยให้รถม้าออกจากเมืองตามอำเภอใจ
ยามนี้หนิวเอ้อร์คุกเข่าอยู่กับพื้น ตกใจกลัวจนหน้าซีดเผือด เนื้อตัวสั่นเทา ต้องเผชิญหน้ากับใต้เท้าผู้บังคับการกองปราบฝ่ายเหนือองครักษ์เสื้อแพร ที่ไม่ว่าใครพอได้ยินชื่อเสียงเรียงนามต่างก็กลัวจนหัวหด
หร่านเจียงจ้องเขาอย่างเย็นเยียบน่าสะพรึง เอ่ยด้วยเสียงเข้ม “สารภาพสิ่งที่เจ้ารู้มาให้หมด หากทำให้ข้าพอใจ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ครั้นหนิวเอ้อร์ได้ยินว่ามีโอกาสรอดก็รีบสารภาพทันที
“เรียนใต้เท้า พวกเขามีทั้งหมดแปดคน บุรุษหกคนขี่ม้าเฝ้าอยู่ภายนอก ภายในรถมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง บุรุษเป็นพ่อค้าร้านยา เขายังมีป้ายออกนอกเมืองติดตัวมาด้วย เขาจะเร่งรีบออกนอกเมืองไปเก็บสมุนไพร ป้ายนั้นเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประตูเมืองเป็นคนออกให้เอง ผู้น้อยเห็นว่าเขามีป้ายจึงปล่อยออกไปขอรับ”
เมื่อหร่านเจียงฟังแล้ว เขาสนใจป้ายออกนอกเมืองที่ใดกัน เขาอยากรู้เพียงประเด็นสำคัญเท่านั้น
“สองคนที่อยู่ภายในรถอายุเท่าไร หน้าตาเป็นเช่นไร อ้วนหรือผอม สวมเสื้อผ้าเช่นไร สีหน้าเป็นอย่างไร”
หนิวเอ้อร์จะรู้ได้อย่างไร เขาไม่ได้ตั้งใจมองสักนิด ทว่าเขาก็ไม่กล้าเอ่ยออกไป
“เรียนใต้เท้า บุรุษผู้นั้นมีท่าทางสุภาพ หน้าตาไม่เลว สวมอาภรณ์สีฟ้าอ่อน เกล้ามวยและสวมหมวกไว้ ภรรยาของเขานั้นหน้าตาธรรมดา เพียงแต่เจ็บป่วย สีหน้าไม่ใคร่ดีนัก สามีของนางจะรีบพานางออกนอกเมืองไปหาหมอขอรับ”
ครั้นหร่านเจียงฟังจบก็ฉายยิ้มทันใด “อ้อ นางป่วยหรือ”
“ใช่ขอรับใต้เท้า บุรุษผู้นั้นโอบนางไว้ในอ้อมกอดดั่งของล้ำค่ายิ่ง สามีภรรยาคู่นี้ดูท่ารักกันมากเลยขอรับ!”