ถ้าให้เวลาเขาอีกสักหน่อย รอให้เขาและเธอคุ้นเคยกัน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะฟังคำพูดของเธอมากกว่านี้
‘แม่คะ หนู…’
ติ๊งต่อง…กริ่งประตูพลันดังขึ้นในเวลานี้ เสิ่นเสี่ยวมั่นไปเปิดประตู
สวีซู่ยืนอยู่นอกประตู ‘น้าเสิ่น ขอโทษครับ ผมมาสาย’
‘ไม่เป็นไร! เข้ามาเร็ว เสี่ยวหนาน สวีซู่มาเรียนแล้ว…’ เสิ่นเสี่ยวมั่นตะโกนบอกลูกสาว
เมฆหมอกในใจจ้าวหนานเซียวพลันสลายไป เธอตื่นเต้นจนแทบจะกรีดร้องออกมา จากนั้นก็เด้งตัวขึ้นมาจากโซฟา
เธอทำสำเร็จแล้ว!
เด็กสาวโอบกอดความรู้สึกสำเร็จอันล้นใจวิ่งไปเปิดประตู ยิ้มและรับนักเรียนของเธอมา ‘สวีซู่ เข้ามาสิ’
สวีซู่ถือกระเป๋าหนังสือยืนอยู่ตรงทางเดินเข้าบ้าน มองจ้าวหนานเซียวแวบหนึ่งแล้วตามเธอเข้าไปในห้องหนังสือช้าๆ
ปิดเทอมฤดูร้อนนี้จึงผ่านไปเช่นนี้ ตามปกติสวีซู่จะมารายงานตัวที่ห้องหนังสือของบ้านเธอทุกวัน แล้วนั่งอยู่สองชั่วโมง เขายังคงมีท่าทีเฉยชา สงวนคำพูดราวกับทองคำ เวลาที่อยู่ด้วยกันส่วนใหญ่มักจะเป็นจ้าวหนานเซียวที่พูดไม่หยุด บางครั้งเด็กสาวก็ไม่ยอมแพ้ ยังพูดเปิดใจกับเขาเมื่อมีโอกาส ถ้าเขาไม่จากไปก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะ จ้าวหนานเซียวก็สงสัยว่าเขากลับไปแล้วจะไม่ทบทวนบทเรียนให้แม่นยำตามที่เธอร้องขอเลย แต่เห็นแก่ที่ระดับความก้าวหน้าถือว่าพัฒนาไปอย่างราบรื่น จึงอดทนต่อไป
พริบตาเดียวก็เปิดเทอม จ้าวหนานเซียวขึ้นชั้น ม.สาม สวีซู่แทรกชั้น ม.สอง วันแรกที่เปิดเทอมการมาถึงของเขาสร้างความฮือฮาให้กับทั้งโรงเรียน เปลวไฟสีทองบนหัวเขาที่อยู่ห่างออกไปสองร้อยเมตรก็ยังมองเห็นได้ชัดเจนไม่มีทางหลบรอดสายตาเจ้าระเบียบของผู้อำนวยการฝ่ายปกครองได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าผู้อำนวยการไม่มีทางอนุญาตให้ทรงผมที่ประหลาดอย่างนี้ปรากฏขึ้นในโรงเรียน ขอร้องอย่างเคร่งครัดให้เขาเปลี่ยนเป็นทรงผมอย่างที่นักเรียนควรจะมีในทันที
สถานการณ์แบบนี้จ้าวหนานเซียวคาดไว้แล้วตั้งแต่ก่อนเปิดเทอม มีวันหนึ่งก็เคยเตือนแบบอ้อมค้อม ตอนนั้นเขาไม่โต้ตอบใดๆ เลย เธอจึงได้แต่ปล่อยไป
ไม่นานพ่อของเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงเรียน จึงอาศัยโอกาสนี้บังคับให้ลูกชายเปลี่ยนทรงผมที่ตนเองเห็นแล้วขัดตามาตั้งแต่แรก จ้าวหนานเซียวไม่รู้ว่าพ่อลูกตระกูลสวีจัดการกันอย่างไร กลับกลายเป็นว่าในตอนท้ายคนเป็นลูกชายไม่ไปโรงเรียนเอาเสียดื้อๆ แล้วก็ไม่ยอมเปลี่ยนทรงผม
คนเป็นพ่อโกรธแทบตาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพื่อไม่ให้ลูกชายถูกไล่ออกจากโรงเรียนก็ไม่รู้ว่าเขาเก่งกล้าสามารถมาจากไหนไปเจรจากับผู้อำนวยการโรงเรียน กลับกลายเป็นว่าในท้ายที่สุดเขาช่วยลูกชายยื่นใบลาป่วยระยะยาวให้กับทางโรงเรียน สวีซู่ได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ ไม่ต้องไปเรียนหนังสือแล้ว แต่ต้องมาเข้าร่วมสอบตั้งแต่ข้อสอบจัดลำดับประจำเดือนเป็นต้นไป ขอเพียงเขาสอบผ่านทุกครั้ง โรงเรียนก็จะรักษาสภาพความเป็นนักเรียนของเขา อนุญาตไปจนถึงการสอบเข้ามัธยมปลายในครั้งสุดท้าย
การสอบประจำเดือนสองครั้งหลังจากเปิดเทอม สวีซู่คงจะโชคเข้าข้าง สอบผ่านได้โดยไร้อุปสรรคใดๆ สวีเจิ้นจงไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้ไปชั่วคราว นอกจากเจ็บใจที่ลูกชายเป็นเหล็กที่ไม่กลายเป็นเหล็กกล้า* แล้ว เขายิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจต่อจ้าวหนานเซียว
สวีซู่ไม่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน แต่หลังจากที่เปิดเทอม ขอเพียงจ้าวหนานเซียวหาเวลาว่างนัดเขามาเรียน ไม่ว่าจะเป็นตอนเย็นหรือว่าสุดสัปดาห์เขาก็มาตลอด ไม่เคยเว้นเลยสักครั้ง
แต่อย่างไรเสียลูกสาวก็ขึ้นชั้น ม.สาม แล้ว เสิ่นเสี่ยวมั่นเป็นห่วงเล็กน้อยว่าจะกระทบกับการเรียนของเธอ เคยถามเธอเป็นการส่วนตัวอยู่ครั้งหนึ่ง บอกว่าถ้าเธอรู้สึกกินแรงเกิน แม่จะช่วยเธออธิบายสถานการณ์ให้กับลุงสวี ลุงสวีต้องเข้าใจอยู่แล้ว แต่จ้าวหนานเซียวบอกว่าไม่มีปัญหา หลังขึ้น ม.สาม โรงเรียนก็ตระหนักในการให้พวกเขาลดทอนกิจกรรมของโรงเรียนเพื่อเป้าหมายในการฝึกฝนสอบเข้า ม.ปลาย ตอนนี้ตัวเธอยิ่งมีเวลาให้จัดการมากขึ้น จึงบอกให้แม่วางใจ
ตั้งแต่เล็กจนโตลูกสาวก็มีวินัยในตนเองและยังรู้ความ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการใช้ชีวิต เดิมทีไม่ต้องให้ตนกังวลอยู่แล้ว เสิ่นเสี่ยวม่านเชื่อใจในตัวลูกสาวมาก ในเมื่อลูกว่าอย่างนี้ เธอก็วางใจไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว
ความรู้สึกที่จ้าวหนานเซียวมีต่อสวีซู่ในตอนนี้ก็เป็นเหมือนกับลุงสวีจริงๆ มีความรู้สึกเจ็บใจเหล็กที่ไม่กลายเป็นเหล็กกล้า
เรียนหนังสือมาจนถึงตอนนี้ เธอรู้สึกว่าอาศัยหัวสมองอย่างเขา ขอแค่ใส่ใจในการเรียนอีกสักนิด อีกหน่อยอย่าว่าแต่ ม.ต้น ขึ้น ม.ปลาย เลย สอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายชื่อดังก็ยังเป็นไปได้ แต่ตัวเขาเองออกจะเรื่อยเปื่อยขนาดนี้ รู้สึกเหมือนเขาไม่สนใจอะไรเลย จ้าวหนานเซียวเป็นห่วงอนาคตของเขา ดังนั้นหลังจากวางอำนาจได้แล้ว ไม่ว่าตอนนี้จะยุ่งกับการบ้านของตนมากเพียงใด เธอก็ยังตัดสินใจหาเวลาเรียกให้เขามาเรียนอย่างสุดความสามารถ เพื่อไม่ให้คลาดบทเรียนมากเกินไป เผื่อว่าวันไหนคนไม่เอาถ่านจะหันกลับมาเรียนแล้วตามไม่ทัน