‘ทำเรื่องเลวร้ายมาเยอะเลยไม่กล้าขึ้นไปหาคุณตาฉันเหรอ’ จ้าวหนานเซียวโผล่หน้าจากหมีหมาตัวโตออกมาพูด
เขาหันมา ‘จ้าวหนานเซียว เธอว่ายังไงนะ’
‘งั้นก็ขึ้นไปสิ!’ เด็กสาวหันหน้าออกเดิน
ในที่สุดสวีซู่ก็มายืนอยู่ต่อหน้าคุณตา
คุณตากำลังอ่านหนังสือก็ถอดแว่นตาลง มารับเขาถึงหน้าประตู หัวเราะพลางตบไหล่เด็กหนุ่มแล้วพยักหน้า ‘หนุ่มน้อยรูปงาม กระปรี้กระเปร่ากว่าสวีเจิ้นจงพ่อเธอในตอนนั้นตั้งเยอะ คงหิวแล้วมั้ง กินข้าวแล้วไปตัดเค้กกัน’
จ้าวหนานเซียวหลับตาอธิษฐาน เป่าเทียนแล้วตัดเค้ก สวีซู่อยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงเลยสักแอะตั้งแต่ต้นจนจบ กินอาหารเสร็จแล้วจ้าวหนานเซียวเห็นเขายืนอยู่หน้าผนังด้านหนึ่งของห้องรับแขก มองดูรูปภาพเก่าๆ มากมายของคุณตาที่แขวนอยู่บนผนังจึงเดินเข้าไป ชี้รูปภาพขาวดำใบหนึ่งของเมื่อหลายศตวรรษก่อนที่ใช้กรอบกระจกปกป้องไว้
‘นี่คือสะพานใหญ่เฉียนถังเจียงในตอนที่เพิ่งสร้างเสร็จและให้รถวิ่งผ่านในปี 1937 สวีซู่นายเคยได้ยินเรื่องของสะพานนี้ไหม ตอนนั้นรัฐบาลอยากจะสร้างสะพานแห่งหนึ่งที่นี่ แรกเริ่มที่เชิญมาเป็นผู้เชี่ยวชาญของต่างประเทศ พวกเขาคิดว่าสภาพธรณีวิทยาและอุทกวิทยาไม่เหมาะสม ไม่สามารถสร้างได้ สุดท้ายเป็นคุณเหมาอี่เซิงที่ออกมาควบคุมดูแลการสร้างจนสำเร็จ นี่คือสะพานใหญ่สมัยใหม่ที่ทำจากเหล็กแห่งแรกที่คนจีนเราออกแบบและสร้างขึ้นเอง น่าเสียดายที่ให้รถวิ่งผ่านได้ไม่ถึงสามเดือน เพื่อจะยับยั้งไม่ให้ทหารญี่ปุ่นรุกรานหังโจว* คุณเหมาจึงระเบิดมันด้วยมือตนเอง คนที่อยู่ที่หัวสะพานในรูปนี้ก็คือพ่อของคุณตาฉัน ตอนนั้นเขาเป็นหนึ่งในวิศวกรที่สร้างสะพาน นี่คือรูปภาพที่คุณตาของฉันหวงแหนมาก’
สวีซู่มองดูรูปภาพเก่าอยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไร
จ้าวหนานเซียวจูงเขามายังห้องหนังสือของคุณตา ชี้ที่ตู้โชว์ในห้องหนังสือ
‘ในนี้ทั้งหมดคือแบบจำลองสะพาน นี่คือสะพานจ้าวโจว นี่คือสะพานใหญ่โกลเด้นเกตที่ให้รถวิ่งผ่านที่อเมริกาในปี 1937 นี่คือสะพานใหญ่มิลเลา อยู่ที่ฝรั่งเศส เชื่อมต่อปารีสกับชายฝั่งลองก์ด็อก หลังจากให้รถวิ่งผ่าน ระยะเวลาการเดินทางด้วยรถก็สั้นลงจากเดิมที่เป็นสามชั่วโมงเหลือสิบนาที นายดูสิ มันสวยมาก เหมือนกับมังกรที่ลอยอยู่ในหุบเขาเลยใช่ไหมล่ะ’
สวีซู่ยังคงไม่พูดจา สายตาเคลื่อนย้ายไปมาบนแบบจำลองสะพานชนิดต่างๆ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ช่องตรงกลาง
ในตำแหน่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดนี้กลับวางแหวนเหล็กที่ดูธรรมดามากไว้วงหนึ่ง บนนั้นมีรอยคดงอ
คุณตาตามเข้ามา เห็นสวีซู่มองดูแหวนก็พูดกับจ้าวหนานเซียวว่า ‘เสี่ยวหนาน หลานอธิบายให้สวีซู่ฟังถึงที่มาของแหวนสิ’
จ้าวหนานเซียวรอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์สะพานของโลกเป็นอย่างดี นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ
‘แหวนวงนี้มีชื่อเรียกว่าแหวนวิศวกร การเกิดขึ้นของมันมีส่วนเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมหนึ่งในประวัติศาสตร์สะพานของโลก โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นบนสะพานใหญ่ควิเบก สะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน ปรมาจารย์ชื่อดังมากๆ ที่ชื่อว่าธีโอดอร์ คูเปอร์เป็นคนออกแบบและสร้างขึ้น สะพานใหญ่มีโครงสร้างเป็นคานยื่นที่ยาวที่สุดในโลกในตอนนั้น เชื่อว่าเป็นผลงานชิ้นอมตะของคูเปอร์ เขาเองก็บอกว่าการออกแบบนี้ยอดเยี่ยมและประหยัดที่สุด แต่ว่าคูเปอร์มุ่งหวังกับการออกแบบมากเกินไป เพื่อที่จะทำให้สะพานใหญ่เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลกตอนนั้น เขาแก้การออกแบบจากเดิม 500 เมตรเป็น 600 เมตร เดือนสิงหาคมในปี 1907 ก็เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น ขณะที่การพาดคานยื่นช่วงหลักใกล้จะเสร็จ ขื่อท่อนหนึ่งของสะพานฝั่งใต้พลันถูกทับจนถล่มเนื่องจากสาเหตุอย่างชิ้นส่วนเปราะบาง คานยื่นจึงตกลงไปในแม่น้ำ นำเอาเหล็กกล้าที่หนักสองหมื่นตันและคนงานที่กำลังทำงานอยู่บนสะพาน 86 คนตกลงไปในน้ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 75 คน เพราะว่าคูเปอร์เชื่อมั่นมากเกินไป เพิกเฉยต่อความสมเหตุสมผลของโครงสร้าง ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์สะพานของโลกนี้ขึ้น
ที่จริงแล้วก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุก็มีวิศวกรที่ร่วมออกแบบด้วยค้นพบความไม่สมเหตุสมผลในการออกแบบ แต่เพราะเคารพเลื่อมใสในอำนาจ จึงไม่ได้แสดงความเห็นคัดค้านที่ชัดเจนออกมา ที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือเมื่อก่อสร้างอีกครั้งในสิบปีให้หลัง เพราะการออกแบบที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นเดียวกัน การลงรายละเอียดเชื่อมชิ้นส่วนให้แข็งแกร่งไม่เพียงพอ จึงเกิดเหตุพังทลายระหว่างการก่อสร้างสะพานขึ้นอีกครั้ง มีผู้เสียชีวิตอีกสิบสามคน ภายหลังวิทยาลัยวิศวกรรมเจ็ดแห่งของแคนาดาออกเงินซื้อซากปรักหักพังเหล่านั้น นำเหล็กกล้ามาทำเป็นแหวน มอบให้กับนักศึกษาที่จบจากคณะวิศวะสวมไว้บนนิ้วก้อย เวลาวาดแผนผังจะได้กดโดนนิ้วมือ ใช้วิธีนี้เตือนสติวิศวกรว่าต้องมีความรู้สึกรับผิดชอบที่สูงมากในการออกแบบสะพาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้นอีกครั้ง