Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 1
(2)
ซังอู๋เยียนมักจะเหลือบมองคำว่า ‘อีจิน’ สองพยางค์ที่ค่อนข้างคุ้นตา แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนกันแน่ ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็เข้านอน
น่าเสียดายที่เพิ่งจะเช้ามืด ซังอู๋เยียนก็ถูกไก่ตัวผู้ที่หญิงชราชั้นสามเลี้ยงเอาไว้ปลุกจนตื่น ทรมาทรกรรมมาหลายวันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรหญิงชราจะเอาไก่ตัวนั้นมาตุ๋นกินเสียที
ซังอู๋เยียนคลุมโปงแล้วนอนต่อ น่าเสียดายที่เหมือนว่าไก่ตัวนั้นจะกินยากระตุ้นประสาทเข้าไป มันจึงโก่งคอขันเสียงดัง และหลังจากนั้นมือถือก็ดังขึ้น
ซังอู๋เยียนเห็นสายเข้าปรากฏเป็นชื่อเว่ยเฮ่า หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วขึ้น ไม่รู้ว่าจะรับสายหรือว่าไม่รับสายดี
เธอไม่กล้ากดรับ เสียงเรียกเข้าจึงดังวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เงียบไป
เธอยังไม่ทันผ่อนลมหายใจ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง ยังคงเป็นเว่ยเฮ่าเหมือนเดิม
“นายคนนี้ก็จริงๆ เลยนะ ไม่รู้หรือไงว่ารุ่งเช้าคนอื่นเขาหลับเขานอนกันอยู่” เฉิงอินกล่าว
“ก็ใช่น่ะสิ” เธอขมวดคิ้ว
“รับสายเถอะ ยังไงเขาก็กินเธอไม่ได้สักหน่อย”
“เรื่องอะไรล่ะ!” ซังอู๋เยียนกล่าวพลางเอามือถือซุกไว้ในผ้าห่มด้วยความตึงเครียด
สายหลุดไปอีกครั้ง แล้วก็ดังขึ้นอีก
ซังอู๋เยียนเลยวางหมอนทับลงไปอีกชั้นเพื่อทับมือถือไว้ ผ่านไปนานสองนานเสียงเรียกเข้าจึงหยุดลง
แต่ว่ารุ่งเช้าดีๆ ที่ไม่มีคาบเรียนและนอนได้จนตะวันสายโด่งก็ถูกทำลายลงเสียอย่างนั้น
ซังอู๋เยียนลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้าอย่างซังกะตาย เหม่อลอยอยู่ในห้องสักครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจออกจากบ้านไปยังถนนเสี่ยวซีเพื่อกินเสี่ยวหลงเปาที่เธออยากกินมานาน
เช้าตรู่อย่างนี้ นอกจากนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่รีบร้อนเดินไปเรียนด้วยตนเอง บนถนนหนทางก็แทบไม่มีคนเลย ร้านค้าส่วนใหญ่ก็ยังไม่เปิดหน้าร้าน
รถฉีดถนนแล่นไปอย่างเชื่องช้าพลางเปิดเพลงไปตามทาง
ซังอู๋เยียนเดินไปตามทางพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทีเดียว ก่อนหน้านี้ที่ตื่นเช้าหากไม่ใช่เพื่อจะรีบไปสถานีก็เพื่อกลับไปยังมหาวิทยาลัย นานแล้วที่ไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างนี้
ฉะนั้นเธอจึงกินจนแน่นท้องแล้วเดินออกมาจากร้านซาลาเปา เดินต่อไปก็เลี้ยวเข้าสวนสาธารณะ
ในสวนสาธารณะกลับคึกคักกว่ามาก บางคนก็เต้นแอโรบิก บางคนก็กำลังวิ่ง
ที่ริมทะเลสาบมีเด็กน้อยตัวอ้วนกลมเรียนไทเก๊กอยู่กับผู้สูงอายุอย่างเอาจริงเอาจัง เธอเห็นท่าทีเงอะงะน่าเอ็นดูของเด็กน้อยคนนั้นก็รู้สึกสุขใจเลยนั่งลงที่เก้าอี้ข้างทาง
อาจเป็นเพราะว่าวันนี้อากาศดี แม้ว่าจะเพิ่งปลายเดือนกันยายน แต่ว่าอากาศร้อนก็ลดอุณหภูมิลงแล้ว เธอนั่งอยู่อย่างนั้นบนเก้าอี้กลางแจ้ง สายลมอ่อนพัดช้าๆ สบายใจและสดชื่น จนกระทั่งรู้สึกว่าอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
สีของท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ สว่างขึ้น ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นค่อยๆ ลอดผ่านชั้นเมฆ
เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนที่ซังอู๋เยียนเพิ่งจะมาถึง ชายหนุ่มก็นั่งอยู่ตรงนั้นแล้ว เขาหันหน้าไปทางทะเลสาบอยู่คนเดียว หลับตาทั้งสองข้างลงเงียบๆ รูปลักษณ์ของคนคนนั้นทำให้ซังอู๋เยียนรู้สึกดีเอามากๆ ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะแอบดูใบหน้าด้านข้างของเขาให้มากขึ้นสักสองหน
ริมฝีปากของเขาซีดเซียว บางและเม้มแน่น ใบหน้าไร้อารมณ์แลดูค่อนข้างเฉยเมย
เพราะว่าเขาหลับตาอยู่ ซังอู๋เยียนจึงอาจหาญปลุกความกล้าขึ้นจ้องมองเขาให้นานอีกหน่อย เธอสายตาดีมากมาตั้งแต่เด็ก ต่อให้ห่างกันหลายเมตรก็สามารถสังเกตเห็นได้ว่าขนตาของเขาดำขลับและหนาทึบ บนล่างประกบเข้าด้วยกันราวกับพัดอันเล็กๆ
แต่เพราะว่าเขาหลับตาอยู่ ก็เลยไม่เห็นดวงตา
ซังอู๋เยียนเชื่อมาโดยตลอดว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ การมีดวงตาที่งดงามคู่หนึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สาวงามจะต้องมีพร้อม เพราะฉะนั้นสำหรับการประเมิน ‘คนหล่อเหนือใคร’ สี่คำนี้ เธอจะเก็บคำว่า ‘เหนือใคร’ สองคำนี้เอาไว้ รอให้เห็นภาพรวมก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
บริเวณใกล้ๆ มีคนเฒ่าคนแก่หลายคนกำลังฝึกออกเสียง และมีคนที่ตะโกนเข้าหาทะเลสาบ ว่ากันว่าทำอย่างนี้แล้วจะสามารถขับไล่พิษออกจากช่องอกได้ ทำให้เจริญอาหาร ช่วยปรับอารมณ์ และทำให้อายุยืนยาว
ซังอู๋เยียนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาจึงนึกอยากจะฮัมเพลง ก็เลยเลียนแบบพวกเขา เธอลุกขึ้น สองมือเท้าเอว หันหน้าไปยัง ‘ผืนน้ำอันกว้างใหญ่’ ร้องเพลงออกมาด้วยเสียงสูง
“ขวาสามรอบ ซ้ายสามรอบ หมุนๆ ก้น หมุนๆ คอ นอนเร็วตื่นเช้าพวกเรามาออกกำลังกาย สะบัดมือ สะบัดเท้า หมั่นหายใจเข้าลึกๆ กระโดดโลดเต้นตามคุณปู่ ฉันก็จะไม่แก่…”
เมื่อเปล่งเสียงร้องดังลั่น ‘คุณปู่’ ที่กำลังทำแอโรบิกยามเช้าอยู่ด้านข้าง เมื่อถูกเธอนำมาร้องเป็นเพลงอย่างนี้ก็ขัดเขินไม่กล้าหมุนเอวหมุนก้นต่ออีก หยุดเคลื่อนไหวลงช้าๆ
เอ่อ ดูเหมือนว่าจะติงต๊องไปหน่อยสินะ เธอใคร่ครวญแล้วเปลี่ยนไปเป็นอีกเพลง
“ธงแดงห้าดาวโต้ลมโบกสะบัด ติ๊งๆ เสียงเพลงต่องๆๆ เพลงร้องว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปประเทศอันเป็นที่รักของเราจะเดินไปติ๊งๆๆๆๆ…”
เมื่อร้องเพลง ‘สรรเสริญประเทศชาติ’ ออกมาได้ท่อนหนึ่ง คุณป้าที่วิ่งถอยหลังเหยาะๆ อยู่ด้านข้างก็ตกใจ ขาสะดุดกันจนเกือบล้มลง
แต่ว่าที่คุ้มค่าแก่การยินดีก็คือเมื่อสักครู่นี้ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นนอกจากจะตะแคงหูฟังตอนที่เธอร้องประโยคแรกแล้ว หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบ
เวลาซังอู๋เยียนร้องเพลงไม่เคยจำเนื้อเพลงมาก่อน พอเจอส่วนที่ร้องไม่เป็นก็ฮึมฮัมไปตามเรื่องตามราวหรือไม่ก็ใส่ประโยคมั่วซั่วที่ไม่ได้สอดคล้องกันเข้าไปเองนิดๆ หน่อยๆ
เห็นได้ชัดว่า ‘ติ๊งๆ’ กับ ‘ต่องๆ’ หลังธงแดงห้าดาว ล้วนเป็นการออกเสียงแทนเนื้อเพลงที่เธอไม่รู้
อีกทั้งทุกคราวที่ร้องคาราโอเกะ เธอหยิบไมโครโฟนขึ้นมาอ้าปากร้องได้ไม่เกินสามประโยคก็จะถูกทุกคนทุบตีให้วางไมค์
เฉิงอินส่ายหน้าพลางถอนหายใจอยู่บ่อยๆ ‘พวกเราคิดไม่ออกเลย ยังไงเธอก็เป็นถึงผู้ประกาศของสถานีที่แม้จะไม่เคยออกอากาศด้วยเสียงหวานๆ เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งมหาวิทยาลัย แต่ว่าพอร้องเพลงออกมาทำไมถึงได้น่าเวทนาแบบนี้ล่ะ’
ช่างเถอะๆ…ซังอู๋เยียนหุบปาก ส่ายหน้าไปมา
ที่นี่มีคนเฒ่าคนแก่อยู่เยอะ อย่างไรก็อย่าร้องเพลงยอดนิยมที่ทำให้หวนคิดถึงอดีตเลยจะดีกว่า เดี๋ยวจะหาว่าเธอทำให้ภาพลักษณ์อันรุ่งโรจน์ของประเทศชาติอันยิ่งใหญ่ต้องแปดเปื้อน
ซังอู๋เยียนคิดอยู่เงียบๆ ในใจ เตรียมตัวร้องเพลงที่คนทุกชนชั้นซาบซึ้ง
ตอนนั้นเองจู่ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าตัวเองศรัทธาในเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ของสวีกวนกัว เพลงนี้มีชื่อเสียงมากทีเดียว แล้วก็ค่อนข้างเข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้ เธอครุ่นคิดเนื้อเพลงอยู่ในสมอง แล้วเปิดปากร้องขึ้นอีกครั้ง
สายลมรุ่งอรุณบางเบาพัดผ่าน
พัดกลิ่นหอมจากเรือนผมเธอ
ทำให้ฉันไขว่คว้าอยู่ท่ามกลางสายลมยามเช้า
กลิ่นของเธอ
ฉวยโอกาสที่ยังไม่ฟ้าสาง
ฉวยโอกาสที่เธอยังไม่รู้ความลับนี้
ฉันอยู่ภายใต้แสงสว่างสีครามของท้องนภา
…
เพราะว่าชื่นชอบ ดังนั้นเพลงนี้จึงถูกร้องอยู่นับครั้งไม่ถ้วนในบ้านของเธอ อย่างน้อยๆ ก็จำเนื้อเพลงได้ท่อนหนึ่ง
ซังอู๋เยียนเคลิบเคลิ้มอยู่กับความพึงพอใจของตัวเองอยู่สักครู่
คราวนี้คนที่สะดุดเท้าไม่เยอะเหมือนคราวก่อนแล้ว ถือว่ามีพัฒนาการที่ดี
ทว่าชายหนุ่มอีกฝั่งหนึ่งที่ห่างออกไปสิบเมตรกลับหันหน้ามาเพราะเสียงเพลงของซังอู๋เยียน สีหน้าที่เดิมทีดูอบอุ่น จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดขึ้นมา
เขาหันหน้ามาพลางลืมตาทั้งสองข้าง จนกระทั่งดวงตาคู่นั้นปรากฏให้เห็นช้าๆ ซังอู๋เยียนก็ถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะ
เขามีดวงตาที่สวยมากๆ
ดวงตาคู่นั้นมีขนตาหนาทึบ เข้มราวกับทาสี
หลังจากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ซังอู๋เยียนถามเขาว่า ‘คุณรู้รึเปล่าว่าครั้งแรกที่ฉันเห็นดวงตาของคุณ ฉันนึกถึงอะไร’
เขาไม่แน่ใจ
เธอยิ้มพลางเอ่ย ‘นึกถึงลูกแก้วสีดำที่แช่อยู่ในน้ำน่ะสิ’
ความจริงแล้ว จะว่าไปเวลานี้อารมณ์ของชายหนุ่มก็ค่อนข้างแปลกประหลาด หรือไม่สู้บอกว่าไม่สบอารมณ์สุดขีดเลยจะดีกว่า
ซังอู๋เยียนกลัดกลุ้ม ฉันร้องเพลงของสวีกวนกัว แล้วเขาจะไม่สบอารมณ์ไปทำไม หรือว่าเขาเป็นแฟนคลับผู้บ้าคลั่งของสวีกวนกัวกันนะ เวลานั้นสมองน้อยๆ ของซังอู๋เยียนก็มีข่าวฉาวของแฟนเพลงที่ติดตามศิลปินอย่างเอาเป็นเอาตายมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด
ฉะนั้นขณะที่ดวงตาที่ไร้เปลือกห่อหุ้มยังไม่ทันได้ตกกระทบลงที่ตัวของเธอ ซังอู๋เยียนก็หยุดร้องทันควัน หยิบกระเป๋าแล้วรีบร้อนเดินจากไป