ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 1 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ

ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 1

(3)

ตอนเที่ยงซังอู๋เยียนกลับไปยังหอพักนักศึกษาเพื่อหยิบของ พอดีพบเข้ากับหลี่ลู่ลู่ที่อยู่เตียงชั้นบนถือกะละมังล้างหน้ากลับมาจากห้องอาบน้ำรวม

“ฉันก็ว่าใคร ที่แท้ก็คุณซังนี่เอง” หลี่ลู่ลู่กล่าว “ทำไมล่ะ กลับมาสังเกตการณ์เหรอจ๊ะ”

หลี่ลู่ลู่ชอบพูดจาหยอกล้อซังอู๋เยียนเป็นพิเศษ

“ฉันกลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะ”

“จริงสิ เว่ยเฮ่ามักจะโทรมาหาเธอตอนดึกๆ อยู่บ่อยๆ น่ารำคาญมากๆ เลย เธอช่วยทำให้พวกเราหมดห่วงได้รึเปล่า”

“อืม” ซังอู๋เยียนก้มหน้าก้มตาจัดลิ้นชักพลางเอ่ยปากตอบ

“เธอนี่นะ…” หลี่ลู่ลู่หยุดชะงักแล้วโบกมือใส่ “ไม่พูดแล้ว”

“พูดไปก็เท่านั้นแหละน่า” ซังอู๋เยียนกดมือลงบนริมฝีปากพลางกล่าวไปด้วย

“จริงสิ ไม่รู้ว่านายเว่ยเฮ่าพบเจอคนแบบเธอได้ยังไง โชคร้ายไปแปดชาติเลยนะเนี่ย”

ซังอู๋เยียนหัวเราะหึๆ

“คืนวันเสาร์มากินข้าวด้วยกันนะ อย่าเอาแต่ขดตัวอยู่ในบ้านรกรุงรังของเธอทั้งวันทั้งคืนเลยน่า มาสนุกกับทุกคนกันนะ”

“ไม่อยากไปน่ะ” ซังอู๋เยียนคอตก

“เธอต้องลืมไปแล้วแน่ๆ ว่าวันนั้นเป็นวันเกิดของฉัน ถ้าเธอกล้าไม่ไปล่ะก็ คอยดูว่าคนอย่างฉันจะหวดเธอให้ตายได้รึเปล่า”

หลี่ลู่ลู่ข่มขู่ วิธีนี้ใช้ได้ผลกับซังอู๋เยียนมากๆ เลยล่ะ

 

ปรากฏว่าเมื่อถึงคืนนั้นตอนที่กินหม้อไฟกันเว่ยเฮ่าก็อยู่ด้วย ซังอู๋เยียนขมวดคิ้วพลางมองไปยังหลี่ลู่ลู่

“คนบ้านเดียวกันน่า ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นสักหน่อย” หลี่ลู่ลู่กล่าวโดยไม่ได้เงยหน้าด้วยซ้ำ

กินข้าวกันทั้งหมดแปดคน หญิงสี่ชายสี่พอดี

เมื่อซังอู๋เยียนเปิดประตูเข้ามาก็คิดว่า โอ้โห รวมกันเล่นไพ่นกกระจอกได้สองโต๊ะพอดีเลยนะเนี่ย

ทุกคนมาจากเมือง B ต่างเป็นคนบ้านเดียวกัน ซังอู๋เยียนรู้จักหมดทุกคน

เว่ยเฮ่านั่งอยู่ข้างๆ ของข้างๆ ซังอู๋เยียนอีกที ตรงกลางมีหลี่ลู่ลู่คั่นอยู่ ซังอู๋เยียนไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาเองก็ดูท่าทางปกติดี อยู่กันอย่างสันติตลอดเวลา

แต่เมื่อกินข้าวไปได้ครึ่งทาง กับข้าวบางอย่างไม่พอกิน หลี่ลู่ลู่จึงเรียกพนักงานให้เอาเมนูมาให้ เธอเอ่ยถามเว่ยเฮ่าอย่างลวกๆ ไปว่า “สุดหล่อ นายว่าสั่งอะไรมาอีกดี”

เว่ยเฮ่าไม่แม้แต่จะคิดก็โพล่งออกมา “เพิ่มเนื้อวัวอีกชุดก็แล้วกัน อู๋เยียนชอบกิน”

แล้วตะเกียบของซังอู๋เยียนก็หยุดชะงัก

พอกับข้าวยกมา หลี่ลู่ลู่ก็นำเนื้อวัวจานใหญ่ลงไปต้มในหม้อรวดเดียว แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบตะเกียบของซังอู๋เยียนก็ไม่ได้คีบลงไปแม้สักครั้งเดียว

หลังจากกินเสร็จแล้ว คนทั้งหมดจะไปร้องคาราโอเกะด้วยกันอีก

หลี่ลู่ลู่กับทุกๆ คนสนุกสุดเหวี่ยงกันจะเป็นจะตาย มีเด็กสาวคนหนึ่งถอดรองเท้ากระโดดขึ้นไปบนโซฟาอย่างสะเปะสะปะพลางกุมไมค์ร้องเพลงอย่างบ้าคลั่ง มีแต่ซังอู๋เยียนกับเว่ยเฮ่าที่ต่างคนต่างนั่งอยู่บนโซฟาฝั่งซ้ายและขวา

คนบ้านเดียวกัน A “ซังอู๋เยียน ร้องเพลงสิ”

คนบ้านเดียวกัน B “อย่าๆๆ รอให้ฉันอุดหูก่อน”

ซังอู๋เยียนพลันอารมณ์เสีย ลุกขึ้นได้ก็เอ่ยขึ้นว่า “บ้านแกน่ะสิ!”

หลี่ลู่ลู่หัวเราะ “เว่ยเฮ่า เพลงที่นายเก็บเอาไว้น่ะ พวกเราเลือกให้นายแล้วนะ เพลงต่อไปก็คือ…” กล่าวไปก็ยื่นไมโครโฟนให้เว่ยเฮ่า

เว่ยเฮ่ารับไมโครโฟนมาด้วยความเหนื่อยหน่าย จากนั้นดนตรีก็บรรเลงขึ้นเป็นเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ที่ซังอู๋เยียนร้องไว้เมื่อตอนกลางวัน

มองดูเขาถือไมโครโฟนด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน แต่ทำให้ซังอู๋เยียนย้อนนึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่งเมื่อก่อนนี้

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาเว่ยเฮ่าที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ค่อยจะร้องเพลงสักเท่าไร แค่ร่วมทำวงดนตรีกับเพื่อนๆ ชื่อ ‘eleven’ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย A ตัวเองเป็นเพียงแค่มือเบสอยู่เงียบๆ เท่านั้น ส่วนสวี่เชี่ยนที่เป็นผู้ประกาศของสถานีวิทยุในมหาวิทยาลัยในเวลานี้เป็นนักร้องนำในวงดนตรีของพวกเขา

ปีนั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งที่สวี่เชี่ยนไม่อยู่ คนทั้งกลุ่มร้องเพลงกันอยู่ในห้องคาราโอเกะ ซังอู๋เยียนดื่มจนเมา กอดไมโครโฟนไม่ปล่อย ทั้งยังส่งเสียงดังเอะอะ ‘ลู่ลู่ช่วยฉันเลือกเพลง ‘ท้องนภาสีคราม’ ฉันจะร้อง…สิบรอบเลย’

ไม่ต้องพูดถึงสิบรอบหรอก ซังอู๋เยียนเพิ่งร้องได้สามประโยค คนทั้งกลุ่มก็พากันตะลึงงัน นี่เรียกว่าร้องเพลงอย่างนั้นเหรอ นี่มันเสียงปีศาจที่ทำลายจิตใจอันแน่วแน่ชัดๆ แต่ว่าตอนนั้นเธอดื่มจนเมาแล้ว ไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนอื่นๆ กอดไมโครโฟนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกับ ‘เจ้าแม่ครองไมค์’ ไม่มีผิด

‘อู๋เยียน เพลงนี้ไม่ได้ร้องแบบนี้สักหน่อย’ เว่ยเฮ่าเกลี้ยกล่อมเธอ

‘ถ้างั้นร้องยังไงล่ะ’ เธอหยุดถาม

‘ร้องให้เธอฟังเอาไหมล่ะ’

‘เอา…สิ ถ้าร้องไม่ถูกฉันจะ…ปรับเงินนาย!’ ซังอู๋เยียนเมาจนสะอึกออกมา ‘ไม่สิๆ ปรับเป็น…เหล้า’

เธอกล่าวไปก็คลายมือออก

เว่ยเฮ่าถึงได้เกลี้ยกล่อมจนเอาไมโครโฟนมาจากมือเธอได้

ในตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่เว่ยเฮ่าร้องเพลงต่อหน้าทุกๆ คน ‘ท้องนภาสีคราม’ เพียงครึ่งเพลง แต่กลับร้องแล้วส่งต่อความรู้สึกไปให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ดียิ่งกว่านักร้องเดิมเสียอีก

ร้องไปรอบหนึ่ง ทุกคนก็พากันตกตะลึง ทว่าได้ยินแต่เพียงเสียงของซังอู๋เยียนที่หัวเราะด้วยความเมากรึ่มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า ‘ไม่เลวเลยนี่นา ก็แค่ร้องแย่กว่าฉัน…นิดหน่อยเอง’

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เล่าต่อกันจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย โชว์ของพวกเขาก็กลายเป็นโชว์ที่ถูกเก็บรักษาไว้ในค่ำคืนรับน้องในสาขาของพวกเขาทุกๆ ครั้ง

แล้วตอนนี้หลี่ลู่ลู่ก็พูดถึงเพลงนี้ขึ้นมา เพียงเพราะอยากให้พวกเขาสองคนเชื่อมความสัมพันธ์กันอีกครั้ง

แต่น่าเสียดายที่ระหว่างพวกเขาไม่มีภาพเหตุการณ์แบบที่หลี่ลู่ลู่จินตนาการเลยสักนิด ซังอู๋เยียนหัวเราะด้วยความจนใจ ท่วงทำนองที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เว่ยเฮ่ามองตัวหนังสือแล้วร้องออกมา

 

สายลมบางเบาพัดผ่านใบหน้าของฉัน

ทำให้ฉันรู้ว่า

ฟ้าใกล้รุ่งสาง

สิ่งที่บางเบาคือใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ

ให้ได้ฉันยินยล

ความงดงามของเธอ

บางเบา โอ้ บางเบา

สายลมรุ่งอรุณบางเบาพัดผ่าน

พัดกลิ่นหอมจากเรือนผมของเธอ

ทำให้ฉันไขว่คว้าอยู่ท่ามกลางสายลมยามเช้า

กลิ่นของเธอ

ฉวยโอกาสที่ยังไม่ฟ้าสาง

ฉวยโอกาสที่เธอยังไม่รู้ความลับนี้

ฉันอยู่ภายใต้แสงสว่างสีครามของท้องนภา

ยิ้มให้เธอ

สิ่งที่บางเบาคือความอ่อนโยนของเธอ

ทำให้ฉันใจสลาย

ความดีของเธอ

 

เสียงดนตรียังไม่ทันจบ แต่ว่าซังอู๋เยียนไม่อยากฟังต่อแล้ว เธอหยิบกระเป๋าและมือถือลุกขึ้นยืนแล้วผลักประตูห้องเดินออกไป

เมื่อเสียงเอะอะโวยวายส่วนใหญ่ล้วนหายวับไปที่หลังประตูกั้นเสียง เธอก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ

จู่ๆ เธอก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเช้าวันนั้นที่เธอยืนร้องเพลงนี้อยู่ที่ริมทะเลสาบอย่างโง่เง่า ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ แต่เป็นเพราะว่าใจของเธอยังคงหลงเหลือความคิดถึงสิ่งละอันพันละน้อยอยู่

ทันใดนั้นเธอก็เริ่มรู้สึกเกลียดชังเพลงนี้ขึ้นมา

ขณะนั้นเว่ยเฮ่าก็ตามออกมาด้วย

“อู๋เยียน” เว่ยเฮ่ารั้งเธอไว้

“ฉันออกมาสูดอากาศน่ะ” เธอสะบัดมือของเขาออก

“ทำไมต้องหลบฉันด้วยล่ะ”

“ฉันเปล่า”

“เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ย้ายหอ เจอกันที่มหาวิทยาลัยก็เดินอ้อมไป ยังเรียกว่าเปล่าอีกเหรอ” เว่ยเฮ่ากล่าว “ถ้าโอนหน่วยกิตได้ เธอก็คงรีบย้ายมหาวิทยาลัยไปแล้ว”

“ฉันไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกเพราะนาย ที่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ก็เพราะว่าฉันเป็นคนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้แหละ แล้วที่ฉันเดินอ้อมก็เพราะว่า…” ซังอู๋เยียนหยุดชะงัก สมองคิดหาข้ออ้างอย่างรวดเร็ว “ก็เพราะว่านายคือเว่ยเฮ่า ดาราใหญ่ของมหาวิทยาลัย ฉันกลัวว่าถนนจะกว้างไม่พอ แล้วจะไปขวางทางนายเข้าน่ะสิ”

ฉันถนัดเรื่องการเถียงข้างๆ คูๆ แบบนี้ที่สุด

เว่ยเฮ่าหัวเราะด้วยความจนใจ “ไม่อยากติดต่อกับฉันจริงๆ เหรอ”

“ไม่อยาก”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แค่ไม่อยาก”

“เรื่องของฉันกับสวี่เชี่ยน มันมีเรื่องที่จะต้องอธิบายให้เธอฟัง…”

“เว่ยเฮ่า” ซังอู๋เยียนตัดบทเขา “ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”

“ทำไมล่ะ”

“ก็แค่ไม่อยากฟังนั่นแหละ” เธอกล่าว

ทั้งสองคนโต้เถียงกันจนย้อนกลับไปที่จุดเดิม

และแล้วเว่ยเฮ่าก็พลันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงกับซังอู๋เยียนที่เป็นคนประเภทอธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้

“เมื่อไหร่เธอจะโตสักทีล่ะ อู๋เยียน”

“ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” เธอเอ่ย

“ฉันไปส่งเอง”

“ไม่ต้อง!”

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com