Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 2
(2)
ขณะที่ซังอู๋เยียนกำลังอ่านหนังสือทบทวนเพื่อสอบเข้าปริญญาโท เธอก็ยุ่งอยู่กับปริญญานิพนธ์ของตัวเองไปด้วย
เมื่อถึงกลางเทอม ทุกคนต่างถูกแบ่งให้ไปฝึกงาน กลุ่มของหลี่ลู่ลู่ถูกย้ายมาที่ชานเมืองเพื่อทำการปรับสภาพจิตใจให้กับนักโทษในเรือนจำเขตเฝ้าระวังขั้นสูง
“อะไรคือเรือนจำเขตเฝ้าระวังขั้นสูงเหรอ” ซังอู๋เยียนถามด้วยความประหลาดใจ
“ก็คือเรือนจำที่ข้างในมีนักโทษร้ายแรงอายุสิบห้าปีขึ้นไปทั้งหมดน่ะสิ” หลี่ลู่ลู่ตอบกลับไปอย่างสบายๆ
ซังอู๋เยียนเบิกตากว้างในทันที “เป็นผู้ต้องหาฆ่าคนทั้งหมดเลยเหรอ”
“ก็ไม่แน่หรอก” หลี่ลู่ลู่คลี่ยิ้มเล็กน้อย “มีนักโทษลักพาตัว ยาเสพติด ค้าของเถื่อน แล้วก็ข่มขืนผู้หญิงด้วยน่ะ”
ซังอู๋เยียนเปลี่ยนสีหน้ากะทันหัน เธอคิดไปถึงหนังเรื่อง ‘The Green Mile ปาฏิหาริย์แดนประหาร’ ที่เกี่ยวกับว่าเรือนจำดำเนินการกับนักโทษประหารชีวิตอย่างไร บนหัวของนักโทษมีผ้าขนหนูชื้นๆ วางอยู่ จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ไฟฟ้า ภาพเหตุการณ์นั้นทำให้เธอกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน
หลี่ลู่ลู่เลิกคิ้วขึ้น “โชคดีที่สาวๆ น่ารักบอบบางอย่างพวกเธอไม่ได้ไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงได้ตกอกตกใจกันบ้างล่ะ”
ก็จริงนั่นแหละ กลุ่มของซังอู๋เยียนสบายที่สุดแล้ว ถูกแบ่งไปยังโรงเรียนผู้พิการในเขตชุมชนแห่งหนึ่ง โรงเรียนค่อนข้างจะพิเศษสักหน่อย พวกเธอต้องส่งกำหนดการเข้าไปก่อน แล้วเดือนหน้าค่อยเข้าไปอย่างเป็นทางการ
วันจันทร์ซังอู๋เยียนไปยื่นกำหนดการฝึกสอนที่แผนกการสอนที่โรงเรียนพิเศษแห่งนั้น
เธอทำธุระเสร็จก็ออกมาจากห้องพักครูที่ชั้นบนสุด เป็นคาบเรียนที่สองของบรรดาเด็กๆ พอดี ตอนที่ซังอู๋เยียนเดินผ่านห้องเรียนเล็กๆ ที่ชั้นสองไป เธอก็ได้ยินเสียงที่เหมือนจะเคยได้ยินมาก่อน
จากนั้นซังอู๋เยียนก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นเป็นครั้งที่สามผ่านหน้าต่างบานนั้น
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อผ้าอ่อนนุ่มยืนข้างๆ โพเดียม อยู่ในท่าทางสบายๆ บรรดาเด็กๆ กำลังทำการบ้านอยู่ เขาก้มหน้าลง รอคอยอยู่เงียบๆ ไม่พูดไม่จา
“อาจารย์ซู!” เด็กหญิงมัดผมแกละตะโกนขึ้นจากตรงไหนสักแห่ง
ที่แท้เขาก็นามสกุลซูนี่เอง ซังอู๋เยียนหัวเราะเบาๆ ยืนนิ่งมองพวกเขาอยู่ตรงที่เดิม
ไม้เท้าไม่ได้อยู่ในห้องเรียน มือของเขาเฉียดผ่านโต๊ะไปหลายตัว ค่อยๆ เดินไปข้างๆ เด็กหญิงคนนั้น ดูเหมือนว่าเขาจะคุ้นเคยกับทุกอย่างที่นี่เป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มโน้มตัวลงไปพูดจาสองสามประโยค จากนั้นจึงค้ำมือไว้กับโต๊ะ พูดคุยกับเด็กหญิงต่อไปอย่างใจเย็น เสียงของเขาแตกต่างไปจากความรู้สึกตอนที่อยู่ในลิฟต์โดยสิ้นเชิง ทั้งอ่อนโยนและละเมียดละไม ทำให้รู้สึกราวกับว่าเขากำลังยิ้มแย้ม
ในที่สุดก็ถึงเวลาเลิกเรียน ตอนที่เขาออกมา ซังอู๋เยียนที่เอาแต่ซ่อนตัวส่องดูอยู่ที่นอกหน้าต่างก็ลังเลอยู่สักครู่ แล้วจึงตะโกนเรียกตามเด็กน้อยเหล่านั้น
“อาจารย์ซูคะ”
เขาหันกลับมาด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไว ดวงตาไม่โฟกัส ดูเหมือนว่าสายตาจะตกกระทบไปยังสถานที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป
เขาเอ่ยถาม “มีธุระอะไรหรือครับ”
“ไม่มีค่ะ”
“เรารู้จักกันเหรอ”
“ดูเหมือนว่าจะไม่รู้จักเหมือนกันค่ะ”
เมื่อเขาได้ยินก็เผยท่าทีที่ดูเหมือนโล่งใจให้เห็น จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งค้ำไม้เท้าไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งพยุงตัวกับราวจับเตรียมจะลงบันได
ซังอู๋เยียนเห็นสถานการณ์ก็ถามขึ้นอีก “คุณจะไปไหนคะ ต้องการให้ช่วยรึเปล่า”
เขาจึงหันกลับมาเป็นครั้งที่สอง ไตร่ตรองอยู่สักครู่ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ดูเหมือนว่าจะเคยเจอคุณที่สถานี”
“ในลิฟต์ค่ะ” ซังอู๋เยียนกล่าวเสริม
ตอนนี้เธอเองก็เอ่ยขึ้นด้วยความหวังดีว่า “ต้องการให้ช่วยหรือเปล่า” ห้าคำเหมือนกัน
ดีนะที่เขาความจำใช้ได้ ซังอู๋เยียนคิดด้วยความดีใจ
“ฉันเป็นนักศึกษาฝึกสอนที่เพิ่งมาใหม่ ชื่อซังอู๋เยียน อาจารย์ซูล่ะคะ?”
“ซูเนี่ยนชิน”
“เนี่ยนฉิง*?” ซังอู๋เยียนค่อนข้างแปลกใจทีเดียว จึงเอ่ยซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
“ไม่ใช่ ชินน่ะ” ซูเนี่ยนชินแก้ไขการออกเสียงของเธอเสียใหม่
เธอเป็นคนทางใต้ ก่อนหน้านี้เธอค่อนข้างสับสนกับการแยกแยะเสียงนาสิกหน้าหลัง** และก็ด้วยเหตุผลนี้เอง รายการของเธอถึงได้ถูกหัวหน้าสถานีเขี่ยออกไป เวลานี้เธอสามารถพูดได้ชัดเจนแล้ว แต่ว่าฟังได้ไม่แม่นยำเท่าไรนัก
ซูเนี่ยนชินดูเหมือนจะรู้สึกได้ถึงความงุนงงของเธอ จึงกล่าวเพิ่มขึ้นอีกประโยค “จินอี ชิน***”
จินอี ชิน?
ซังอู๋เยียนแค่นหัวเราะ ภาษาของเธอไม่ดีมาตลอด ไม่รู้ว่าอะไรคือจินอีชิน แต่ก็เกรงใจที่จะสอบถามอีก เดี๋ยวจะดูเหมือนว่าไม่มีอารยธรรม จึงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ
คืนนั้นขณะที่ซังอู๋เยียนกำลังท่องคำศัพท์อยู่ จู่ๆ ก็คิดถึงชื่อเขาขึ้นมาได้ เธอไม่ได้เปิดพจนานุกรมภาษาจีนมานานมากแล้ว จึงเสียเวลาหน่อยกว่าจะหามันเจอในกลุ่มตัวอักษรที่มีเสียงเดียวกัน
จินอี ชิน เธออ่านคำอธิบาย ที่แท้ก็แปลว่าผ้าห่มนี่เอง
“เนี่ยนชินงั้นเหรอ ตอนเด็กๆ ที่บ้านจะต้องจนมากแน่ๆ เลยไม่มีผ้าห่ม” เฉิงอินที่อยู่ข้างๆ วิเคราะห์อย่างไร้อารมณ์
“ไม่แน่ว่าตอนเกิดมาอาจจะตั้งชื่อไว้แล้วก็ได้นี่?” ซังอู๋เยียนตอบโต้
“งั้นก่อนที่พ่อแม่เขาจะแต่งงานกันก็คงจะจนกันสุดๆ พ่อแม่คนจีนน่ะนะ ต่างใส่ความหวังลงไปในชื่อของลูกๆ กันทั้งนั้น” เฉิงอินยังคงอยู่ในท่าทีไร้อารมณ์ต่อไป
ในที่สุดซังอู๋เยียนก็ยอมจำนน ไม่เสวนาปัญหาเหล่านี้กับผู้หญิงที่ขัดคอเธออีก
ซูเนี่ยนชิน
ซังอู๋เยียนนอนลงบนโซฟา ประคองพจนานุกรมพลางรำพึงรำพันสามพยางค์นี้อยู่เงียบๆ นึกย้อนกลับไปถึงสถานการณ์เมื่อตอนกลางวันที่เขาและเธอพูดคุยกัน ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ
ชายหนุ่มพูดภาษาจีนกลางได้อย่างชัดถ้อยชัดคำ แต่ก็มีคำจำเพาะบางคำที่แฝงไว้ด้วยสำเนียงนิดๆ หน่อยๆ อย่างเช่นคำว่า ‘ชิน’ เขาก็จะออกเสียงท้ายที่เดิมทีเป็นเสียงกลางสูงขึ้นเล็กน้อย เขาน่าจะเป็นคนในพื้นที่นี้แหละ เพราะว่าคนเมือง A จะออกเสียงจีนกลางเสียงแรกสับสนกับเสียงที่สองและเสียงที่สาม
“อู๋เยียน” เฉิงอินหยุดความคิดของเธอ
“หืม?”
“รีบเช็ดปากเร็วเข้า มีความสุขจนน้ำลายแทบจะไหลลงมาอยู่แล้วนะ” เฉิงอินกล่าวไปพลางยื่นกระดาษทิชชูให้เธอด้วยท่าทีจริงจัง
“…”