Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 2
(4)
ใกล้จะถึงเทศกาลคริสต์มาสแล้ว สถานีจะทำการออกอากาศรวมรายการยอดเยี่ยมประจำปีซ้ำอีกครั้ง ซังอู๋เยียนได้ยินการสัมภาษณ์ที่เนี่ยซีสัมภาษณ์อีจินเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้โดยไม่ได้ตั้งใจจากห้องตัดต่อ
เธอฉกฉวยโอกาสนี้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว สวมหูฟังเพื่อฟังด้วยตนเอง
“เปล่าครับ แค่เพราะจำนวนขีดน้อยน่ะ” อีจินกล่าว
ได้ฟังประโยคนี้ ซังอู๋เยียนก็แอบยิ้มโง่ๆ อยู่คนเดียวสักพัก
ซังอู๋เยียนทำธุระเสร็จแล้วก็เดินจากตึกใหญ่ของสถานีไปที่ถนน เมื่อได้เห็นคู่รักตั้งอกตั้งใจเตรียมฉลองคริสต์มาสกันเป็นคู่ๆ จู่ๆ เธอก็คิดถึงเว่ยเฮ่าและสวี่เชี่ยนขึ้นมาได้ ความจริงแล้วในใจของเธอไม่ได้ไม่แยแสเหมือนกับที่แสดงออกมา
เดือนที่สองซังอู๋เยียนไปทำหน้าที่ที่โรงเรียนผู้พิการ ช่วงเวลาที่ฝึกสอน เธอต้องศึกษางานจากอาจารย์นามสกุลหลี่ท่านหนึ่ง
บางครั้งอาจารย์หลี่ต้องประชุมหรือว่าสอนห้องระดับกลางซ้ำอีกครั้ง เธอก็จะเฝ้าอยู่ในห้องพักครูคนเดียว ทบทวนภาษาอังกฤษที่จะใช้สอบเข้าปริญญาโท
วันฝนตกวันหนึ่ง เธอก็เห็นซูเนี่ยนชินอีกครั้ง
ฤดูหนาวเมือง A หิมะตกน้อยเป็นพิเศษ แต่ว่าฝนจะตกอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ไม่เห็นท้องฟ้าปลอดโปร่งถึงสามสี่วัน อารมณ์ของเธอแทบจะห้อยแขวนอยู่กับอากาศ ฉะนั้นเธอจึงมักจะไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ขณะที่เธอเหม่อลอยมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ก็เห็นซูเนี่ยนชินเดินเข้ามาจากที่ไกลๆ อยู่ใต้ร่มคันเดียวกันกับหญิงสาวคนหนึ่ง
ฝนยังคงตกอยู่
เขาใช้มือข้างหนึ่งถือร่มเอาไว้ พับเก็บไม้เท้าแล้วกุมไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ จับแขนของเขาที่ถือร่มอยู่เบาๆ เขาอาศัยการนำทางของเธอ เดินผ่านทางเดินแคบๆ ข้างๆ สนามหญ้ามายังอาคารเรียนอย่างช้าๆ
ในห้องพักครู นอกจากเธอแล้วก็ยังมีอาจารย์อีกสองท่านที่กำลังก้มหน้าก้มตาตรวจการบ้าน ซังอู๋เยียนมองพวกเขาแวบหนึ่ง แสร้งทำทีว่าอยากสูดอากาศ ผลักบานหน้าต่าง แล้วก็ยื่นคอออกไปเพื่อที่จะได้เห็นอากัปกิริยาของชายหญิงคู่นี้ได้ชัดเจน ท่าทางของพวกเขาทั้งสองดูสนิทสนมกันดี แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีไม่สำรวมหรือเกินเลย รอจนกระทั่งเดินมาถึงใต้อาคาร ซังอู๋เยียนก็หมดโอกาสที่จะจับสังเกตพวกเขา ไม่เห็นได้ยินเรื่องซุบซิบเลยแม้แต่นิดเดียว สักครู่หญิงสาวคนนั้นก็ถือร่มอีกคันหนึ่งเดินออกไปในสายฝน ทิ้งเขาไว้คนเดียว
เมื่อรู้ว่าอีกเดี๋ยวเขาจะขึ้นมา ซังอู๋เยียนก็รีบปิดหน้าต่างทันที เธอเดินไปที่โต๊ะทำงานของอาจารย์หลี่แล้วนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อย ซ้ำยังแสร้งหาวารสารการศึกษาเล่มหนึ่งขึ้นมาทำทีว่าถือไว้ในมือ อาจารย์อู๋ที่สอนดนตรีเงยหน้าขึ้นมามองซังอู๋เยียนแวบหนึ่ง เมื่อสายตาหยุดอยู่ที่วารสารในมือของเธอก็รู้สึกแปลกใจ
ซังอู๋เยียนถึงได้รู้ตัวว่าเธอถือหนังสือกลับด้าน เพราะฉะนั้นเธอจึงยิ้มแหยๆ ให้อาจารย์อู๋
จากนั้นเธอก็คอยแต่เหลือบมองไปที่หน้าประตูอยู่บ่อยๆ แล้วก็หันกลับมามองที่หนังสือในมืออีกครั้ง
เขาช่างเดินช้าเสียเหลือเกิน ตั้งหลายนาทีกว่าจะขึ้นมาถึง ทั้งยังเสียงเบามากๆ อีกด้วย จนกระทั่งเขาปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู อาจารย์ทั้งสองก็ทยอยกันเอ่ยทักทาย
“อาจารย์ซูมาแล้วเหรอครับ ฝนตกหนักมากเลยล่ะสิ?”
ซูเนี่ยนชินพยักหน้า พยุงตัวกับไม้เท้าเดินไปยังโต๊ะของตัวเอง เมื่อเขาวางไม้เท้าลง ร่มที่อยู่ในมือของเขากลับทำให้เขาลำบากใจ
น้ำยังคงหยดลงจากร่ม หากแขวนเอาไว้อย่างนี้ ก็เกรงว่าจะทำให้พื้นสกปรกเอาได้ แต่ถ้ากางเอาไว้ หลังเลิกเรียนคนเยอะ มิหนำซ้ำยังเกะกะคนอื่นอีก เขาไม่คุ้นเคยกับห้องพักครูเท่าไรนัก และก็ไม่รู้ว่าจะวางตากไว้ที่ไหนดี อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยินดีจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ อีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์สองคนนั้นไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของเขา แต่ว่าซังอู๋เยียนกลับสังเกตเห็น
ซังอู๋เยียนเดินเข้าไป “อาจารย์ซูคะ ให้ฉันช่วยคุณเอาไปวางไว้ในถังด้านนั้นนะคะ”
เดิมทีเขาไม่ทันสังเกตว่าภายในห้องยังมีบุคคลที่สี่อยู่ด้วย อีกทั้งคนคนนั้นก็ยังเป็นซังอู๋เยียนที่เคยถูกเขาตำหนิเมื่อคราวก่อนเสียด้วย
ซังอู๋เยียนเอื้อมมือออกไปรับร่มของเขาเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ในท่าที่เหมือนกับว่าจะไม่คลายมือออก แต่เธอเอ่ยปากไปแล้ว มิหนำซ้ำยังอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ อีก ฉะนั้นจะปล่อยก็ไม่ได้ จะแย่งมาก็ไม่ได้อีก
คนทั้งสองแข็งขืนกันอยู่สามวินาที ก็ได้ยินเสียงกริ่งหมดคาบเรียนเรียนดังขึ้น
มองดูใบหน้าอันแสนเย็นชาของเขา ซังอู๋เยียนพลันรู้สึกว่าเธอยุ่มย่ามไม่เข้าท่า อาจารย์อีกสองท่านช่างมีสายตายาวไกล คิดว่าคงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเขาเป็นตะปูเหล็กวาววับที่สามารถเอาชีวิตคนอื่นได้ในชั่วพริบตา ก็เลยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ขณะที่กริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เสียงคุยเล่นหยอกล้อกันก็ดังขึ้นมาจากบรรดาเด็กๆ ที่เดินอยู่บนทางเดิน สายตามองฝูงชนที่กำลังเอ่อทะลักมาทางนี้ ซังอู๋เยียนจึงคิดเงียบๆ อยู่ในใจ นับหนึ่งถึงสาม ถ้าเขายังเป็นอย่างนี้อยู่ ฉันจะหันหลังแล้วไปเสีย
จนกระทั่งเธอนับถึงสอง ซูเนี่ยนชินจึงคลายมือจากร่ม แล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ “รบกวนด้วย”
คำว่า ‘รบกวนด้วย’ สองคำนี้ ทำให้ซังอู๋เยียนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงเอ่ยปากตอบกลับไปช้าๆ “ไม่เป็นไรค่ะ”
จากนั้นเมื่อเธอกลับไปยังที่นั่งของตัวเองจึงนึกได้ว่านอกจากคนคนนี้จะโมโหง่ายแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะยังหน้าบางอีกด้วย ถ้าเกิดคนอื่นมาเห็นเขากับเด็กสาวยื้อแย่งของกัน จะต้องขายหน้ามากแน่ๆ
อาจารย์หลี่หมดคาบสอนแล้วจึงเข้ามาในห้องพักครู ซังอู๋เยียนจึงรีบร้อนลุกขึ้นต้อนรับ แต่คิดไม่ถึงว่าอาจารย์หลี่จะเอ่ยขึ้นกับซูเนี่ยนชินว่า “อาจารย์ซู ขอโทษด้วย ฉันอยากใช้เวลาในคาบอักษรเบรลล์ของคุณสักหน่อยน่ะ โรงเรียนเพิ่งจะประกาศออกมาว่าจะให้พูดคุยกับนักเรียนเรื่องที่อีกไม่นานจะต้องหยุดเรียนในเทศกาลหยวนตั้น* ไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่าคะ”
อาจารย์หลี่มีชื่อเสียงในเรื่องความสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แม้ว่าซูเนี่ยนชินเดินทางผ่านทั้งเมืองมา ลุยฝนมาเพื่อสอนในคาบนี้ ก็ไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไร เขาพยักหน้าพลางเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไรครับ”
อาจารย์หลี่ได้รับคำตอบก็ไม่คิดอยู่ต่อสักนิด หยิบกระเป๋าได้ก็เดินออกนอกประตูไป เดินไปได้ครึ่งทางก็หันกลับมากล่าวกับซังอู๋เยียน “เสี่ยวซัง ที่นี่ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ถ้าเธอมีธุระอื่นก็กลับก่อนได้เลยนะ”
“ค่ะ” ซังอู๋เยียนกล่าว
แต่ว่าเธอไม่มีความคิดที่จะจากไปเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่มีคาบเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วย เพราะว่าฝึกงานก็เลยลางานที่สถานีเอาไว้ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ต้องเฝ้าห้องคนเดียวอยู่ดี เงียบจนน่ากลัว ไม่สนุกเท่ากับอยู่ที่โรงเรียน
ซังอู๋เยียนรอจนกระทั่งกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่เก้าอี้
โต๊ะทำงานของซูเนี่ยนชินกับอาจารย์หลี่อยู่ติดกันและหันหน้าเข้าหากัน ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ทั้งสองคนจึงหันหาเข้าหากันพอดี
ซังอู๋เยียนเริ่มฟุบและเหม่อลอยอยู่ที่โต๊ะอีกครั้ง ส่วนซูเนี่ยนชินก็หยิบหนังสืออักษรเบรลล์เล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักอย่างเรียบร้อย เปิดไปถึงหน้าที่มีที่คั่นหนังสืออยู่แล้วจึงเริ่มอ่าน ทั้งสองมือของเขาวางราบอยู่บนหน้ากระดาษ เคลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
นี่เป็นคาบเรียนที่สี่ อาจารย์อีกสองคนเมื่อสักครู่นี้ไปสอนแล้ว อาจารย์ที่ไม่มีคาบสอนก็กลับบ้านกันหมด ในห้องพักครูจึงเหลือเพียงพวกเขาทั้งคู่ ซูเนี่ยนชินยังไม่ได้กลับไปเพราะว่าอาจารย์หลี่บอกว่าจะใช้เวลาสักพัก ไม่ได้บอกว่าจะใช้เวลาทั้งคาบ ดังนั้นไม่แน่ว่าเธออาจจะพูดจบก่อนก็ได้ และเขาจะได้ไปสอนต่อ
ฝนที่นอกหน้าต่างค่อยๆ ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ สาดลงบนกระจกเสียงดังเปาะแปะ
ซังอู๋เยียนที่ไม่มีอะไรทำก็หาหนังสืออ่านจากโต๊ะของอาจารย์อู๋ที่อยู่ข้างๆ อาจารย์อู๋เป็นอาจารย์สอนภาษา จึงมีแต่หนังสือประกอบการสอนภาษาวางอยู่ ตรงบริเวณรอยพับเป็น ‘ตรอกชุดดำ’ ของหลิวอวี่ซีพอดี ซังอู๋เยียนสนใจคำศัพท์ที่ใช้ในบทกวีมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้ที่บ้านของเว่ยเฮ่ามักจะเปิดเทปเสียงอ่านของ ‘กวีสามร้อยบทแห่งราชวงศ์ถัง’ อยู่เสมอ ผลลัพธ์ก็คือเธอที่ฟังอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็ฟังจนจำได้ซ้ำยังท่องได้อย่างคล่องแคล่ว แต่เว่ยเฮ่ากลับท่องไม่ได้
บทกวี ‘ตรอกชุดดำ’ เธอเองก็ท่องได้ เพียงแต่ว่าจำได้ไม่แม่นนัก ด้วยเหตุนี้ขณะอ่านหนังสือไปก็อดไม่ได้ที่จะใช้ปากท่องไปเงียบๆ “ดอกไม้ป่าริมสะพานหงส์แดง แสงอาทิตย์อัสดงส่องเฉียงตรอกชุดดำ นางแอ่นหน้าโถงหวังเซี่ยแต่เก่าก่อน โผบินร่อนสู่ครอบครัวสามัญชน”
เพราะว่าตอนมัธยมปลายเรียนสายวิทยาศาสตร์ เข้ามหาวิทยาลัยก็เรียนสาขาจิตวิทยาการศึกษา จึงไม่ได้สัมผัสกับบทกวีโบราณแบบนี้มานานหลายปี จู่ๆ ก็เลยนึกถึงเรื่องในอดีตบางเรื่องขึ้นมา ยากที่จะไม่ถอนใจออกมาด้วยความหดหู่ ทั้งยังอดไม่ได้ที่จะท่องซ้ำอีกครั้ง
เสียงที่เธออ่านบทกวีเบามากๆ แทบจะเรียกได้ว่าพึมพำกับตัวเอง หากอยู่ห่างออกไปไกลหลายก้าวก็ไม่มีทางได้ยิน แต่ว่าซูเนี่ยนชินที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเธอกลับได้ยินอย่างชัดเจน
เมื่อเธอท่องไปถึง ‘แสงอาทิตย์อัสดงส่องเฉียงตรอกชุดดำ’ ท่อนนี้ ในที่สุดซูเนี่ยนชินก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่า “ตัวอักษรนี้อ่านว่าสยา”
“คะ? อะไรนะคะ” ซังอู๋เยียนมึนงง
“อูอีก่างโข่วซีหยางสยา*”
“ซีหยางเสียชัดๆ เลยนี่คะ” ซังอู๋เยียนขมวดคิ้ว เตรียมตัวยื่นหนังสือไปตรงหน้าเขา ให้เขาได้เห็นกับตา ว่าในหนังสือเขียนตัวอักษร ‘เสีย’ ที่มาจากคำว่าเฉเฉียง แต่ว่าแสดงท่าทางออกมาได้เพียงครึ่งหนึ่งก็เก็บกลับไปเงียบๆ
“ผมรู้ว่าเป็นเสีย แต่ว่ากวีท่อนนี้ควรจะอ่านว่าสยา เสียงที่สอง” ขณะที่ซูเนี่ยนชินกล่าวอยู่นั้นก็ย่นหน้าผากไปด้วย เผยให้เห็นถึงความเย่อหยิ่ง
ปกติแล้วเขาเป็นคนไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นมาโดยตลอด แต่ตอนนั้นกลับแก้ไขให้ซังอู๋เยียนเสียยืดยาว เพราะว่าได้ยินเธอท่องว่าเสียแล้วเสียอีกอยู่ข้างหูซ้ำไปซ้ำมา ภายในใจจึงอดกลั้นจนถึงขีดสุด
“อ๊ะ?” ใบหน้าของซังอู๋เยียนแสดงความอึดอัดใจในทันที เธอกล่าวแก้ตัวน้ำขุ่นๆ “ไม่ใช่หรอกมั้งคะ ตอนที่ฉันเรียนหนังสือมันก็อ่านว่าเสียนี่นา”
ซูเนี่ยนชินขี้เกียจจะสนใจเธอแล้ว
ปกติก็เรียนศิลปะได้ไม่ดีอยู่แล้ว คราวนี้ดันมาขายขี้หน้าไปถึงครอบครัวคุณยายนู่นแน่ะ ซังอู๋เยียนกัดริมฝีปาก รีบร้อนคิดจะกล่าวอะไรเพื่อเป็นการกู้หน้า
“ตอนที่ฉันเรียนปีสองยังเคยไปสถานที่ที่เรียกว่าตรอกชุดดำด้วยนะคะ” เธอกล่าวไปก็เหลือบมองซูเนี่ยนชินไปด้วย ก็พบว่าความเร็วที่เขาอ่านอักษรเบรลล์ช้ากว่าเมื่อครู่นี้ไปมากโข อาจเป็นเพราะว่ากำลังฟังคำพูดของเธออยู่ ฉะนั้นเธอจึงค้นหาความทรงจำที่น่าสนใจที่เกี่ยวกับตรอกชุดดำด้วยความรีบร้อน
“ได้ยินไกด์นำเที่ยวบอกฉันถึงได้รู้ว่าที่จริงแล้วหวังซีจือและหวังเซี่ยนจือ** ก็คือหนึ่งในหวังเซี่ยที่อยู่ในตรอกชุดดำนี่เอง อีกทั้งหวังเซี่ยนจือก็เจ้าชู้เสียจนสมควรตาย ยังจะสร้างตำนานท่าเรืออะไรนั่นขึ้นมาอีก”
ซูเนี่ยนชินเอ่ยเสริม “เรียกว่าท่าเรือใบท้อ แต่ว่าหวังเซี่ยที่อยู่ในกลอนบทนี้ไม่ได้กล่าวถึงหวังคนรองหรอกนะ”
“เหรอคะ ถ้างั้นใครล่ะคะ”
“หวังเต่า”
“อยู่ในสมัยเดียวกันทั้งหมดเลยเหรอคะ”
“เป็นญาติกันน่ะ”
ไม่รู้ว่าวันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หรือว่าสนใจเรื่องที่ซังอู๋เยียนพูดขึ้นมาจริงๆ กันแน่ ซูเนี่ยนชินเกิดใช้น้ำเสียงปกติตอบรับคำพูดของเธออย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซังอู๋เยียนหัวเราะหึๆ “แต่ว่าฉันไม่รู้จักหวังเต่าน่ะค่ะ ดังนั้นก็เลยรู้สึกว่าเรื่องราวระหว่างหวังเซี่ยนจือกับเถาเยี่ย*** สนุกมากๆ เลย”
และแล้วมือของซูเนี่ยนชินก็หยุดชะงักจากอักษรเบรลล์ทันที เขาเงยหน้าขึ้น สายตาตกกระทบอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ดูค่อนข้างเหม่อลอย ผ่านไปสักครู่ความสนใจของเขาก็กลับไปที่หนังสือดังเดิม
บรรยากาศกลับมาอยู่ในภาวะเงียบงันอีกครั้ง ราวกับว่าการสนทนาเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้น ใกล้จะเที่ยงแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการนั่งรถในชั่วโมงเร่งด่วน ซังอู๋เยียนก็เลยตัดสินใจว่าจะเก็บของแล้วกลับไปก่อน เมื่อมาถึงชั้นล่าง เธอก็มองไปบนฟ้า ครุ่นคิดอยู่สักครู่ก็ย้อนกลับไปที่ห้องพักครูอีกครั้ง
เธอเดินไปที่ถังใบเล็กริมหน้าต่าง หยิบร่มของซูเนี่ยนชินขึ้นมา แล้ววางไว้ที่ข้างมือของเขา “ร่มของคุณ อย่าลืมเอาไปด้วยนะคะ ฝนยังตกอยู่เลย”
เธอเป็นคนช่วยเขาวางของ หากไม่เอามาคืนเขา เขาต้องหาไม่เจอแน่