Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ
ทดลองอ่าน Crush รักอีกครั้งก็ยังเป็นเธอ บทที่ 3
(2)
ตอนออกมาเธอกลับรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง ซังอู๋เยียนลืมความต้องการที่จะระบายอารมณ์ทางร่างกายไปจนหมดสิ้น เวลานี้อยู่บนถนนจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
เธอหาร้าน KFC รีบร้อนจัดการปัญหาปวดเบาแล้วก็เริ่มครุ่นคิด ยังกลับบ้านไม่ได้สักพักหนึ่ง ไม่แน่ว่าเว่ยเฮ่าอาจจะยังไม่ไป หรือว่าแม่อาจจะเตรียมทำสงครามกับเธอต่อก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหน เธอกลับไปก็มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวทั้งนั้น
นอกในต่างก็มีปัญหาทั้งนั้น
เธอต้องไปบ้านเพื่อนสักคน เพื่อนคนนี้มีชื่อว่าเหวินเหยา ไม่กี่วันมานี้เหวินเหยายังมาเที่ยวที่บ้านเธออยู่เลย เคราะห์ดีที่ตอนนี้บ้านเหวินมีแต่เหวินเหยาอยู่แค่คนเดียว เมื่อเห็นว่าเหวินเหยากำลังเล่นอินเตอร์เน็ตอยู่ ซังอู๋เยียนก็คิดขึ้นได้กะทันหัน
“จริงสิ ฉันอยากดาวน์โหลดเพลงเพลงหนึ่งน่ะ”
ทั้งสองคนต่างจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พิมพ์ตัวอักษร ‘นางแอ่นบนคอน’ ลงไป
ผลลัพธ์ที่ค้นออกมาค่อนข้างมากใช้ได้ แต่ว่าซังอู๋เยียนเข้าไปลองฟังนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ไม่มีเพลงเต็มเลยสักเพลง มีแต่ครึ่งท่อนทั้งนั้น
แต่แม้จะมีเพียงครึ่งท่อน แต่ความรื่นหูของมันก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย
“เพราะดีนี่นา” เหวินเหยาเอ่ยชม
ซังอู๋เยียนถอนหายใจ ก็เพราะจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าห่างไกลจากความรู้สึกที่ซูเนี่ยนชินเล่นเองกับมือในวันนั้นมากเลย
เหวินเหยาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ คิดว่าซังอู๋เยียนหดหู่เพราะว่าหาเพลงเต็มไม่เจอ กำลังคิดจะปลอบใจ แต่พอเห็นชื่อที่ด้านบนของเนื้อเพลง ก็เอ่ยเสียงกระซิบกระซาบ
“นี่เป็นเพลงที่อีจินเป็นคนเขียนนี่นา”
ซังอู๋เยียนฟังแล้วก็มองไปยังหน้าจอ
แม้ว่าจะมีแค่ครึ่งเพลง แต่ว่ากลับมีเนื้อเพลงเต็มเพลง มีชาวเน็ตคนหนึ่งโพสต์เอาไว้บนบล็อก
นางแอ่นบนคอน
นางแอ่นเริงระบำที่นอกหน้าต่าง เมื่อบินเป็นคู่ ระหว่างน้ำเขียวและผู้คน
หวังเซี่ยกาลก่อน ตรอกซอกใด ล้วนเป็นบ้านเกิด
นางแอ่นบนคอน ลอบมองเสียก่อน
มีคนเศร้าใจในยามสายัณห์
ฟังลมฟังฝนฟังอย่างซาบซึ้ง
ใบท้อหนอใบท้อ ลมวสันต์ไร้จำกัด
ลูกหลานสกุลหวังไปยังท่าน้ำ
มีใบท้อแย้มยิ้ม มีไมตรีงดงาม
เรื่องดีทั้งสอง ข้าหมายปองเพียงหนึ่ง
ทว่าท่าน้ำไร้ทุกข์ หวานชื่นละมุน
ประวิงเวลา
จากนี้พันปีร้อยปี มีตรอกชุดดำ มีท่าใบท้อ มีนางแอ่นบนคอน
อิสรเสรี
เมฆหมอกบนกระดาษ มีกลอนถึงจิต มีภาพพึงใจ มีความทุกข์ยาก
เริงระบำ
ปีแล้วปีเล่า เหนือเรือนมุงกระเบื้อง ใต้ชายคามีรัง ดินใหม่ศักดิ์เดิม
คนที่อยู่ในหน้าต่างบานนี้ โดดเดี่ยวมาแสนนาน
ได้ยินเสียงนางแอ่นขับขานเจื้อยแจ้ว
ผ่านความงดงามของท้อ ก็คือใบหลิ่วโรยรา นางเอ๋ยนางแอ่น
ผ่านอัสดง ก็เป็นรุ่งสาง ในแต่ละวัน
ผ่านต้นวสันต์ ก็เป็นปลายสารท ในแต่ละปี
ขมิ้นเอยนางแอ่นเอย ขับขานเจื้อยแจ้ว
รุ่งเช้าจิ๊บๆ ส่งเสียงประสาน
กระจ่างอำพราง ความคะนึงหา
อดทนด้วยแรงกล้าอยู่ร่ำไป
ยิ่งอ่านต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่าค่อนข้างบังเอิญ เนื้อเพลงนี้เกี่ยวกับเรื่องของหวังเซี่ยนที่ซูเนี่ยนชินพูดถึงเมื่อคราวก่อนพอดีเลย ประจวบเหมาะที่มีตรอกชุดดำแล้วก็ท่าเรือใบท้อ
“เธอบอกว่าใครเขียนนะ” ซังอู๋เยียนถาม
“อีจิน” เหวินเหยาชี้ไปยังฝั่งขวาด้านบนของหน้าจอ
ซังอู๋เยียนยืดตัวตรงในทันที เริ่มคาดเดาอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็ปฏิเสธมันไปอีกครั้ง
เป็นไปไม่ได้ มัน…มหัศจรรย์เกินไป
ห้าทุ่มก็กลับมาถึงใต้อาคารที่พักของตัวเอง ซังอู๋เยียนเห็นไฟภายในห้องดับลงแล้ว จึงเข้าห้องอย่างวางใจ
เธอเปิดโคมไฟแล้วนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือด้วยความตั้งอกตั้งใจ ใช้ตรรกะของนักเรียนสายวิทย์และความสามารถในการวิเคราะห์เขียนจัดระเบียบความคล้ายคลึงกันแต่ละอย่างของซูเนี่ยนชินและอีจินไว้บนกระดาษ
เรื่องแรก วันที่อีจินได้รับเชิญให้ไปสัมภาษณ์จากเนี่ยซี เธอเจอซูเนี่ยนชินที่สถานี
เธอพยักหน้า เขียนเครื่องหมายถูกที่ด้านหลังข้อนี้
เรื่องที่สอง เพลงใหม่เพลงนี้ เมื่อคราวก่อนเธอได้ยินซูเนี่ยนชินกำลังเล่นอยู่
เธอพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเขียนเครื่องหมายถูกลงไป
เรื่องที่สาม…เรื่องที่สาม…
ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องที่สามนะ
เพียงแค่สองข้อดูเหมือนว่าจะไม่สามารถอธิบายปัญหาให้กระจ่างได้ ซังอู๋เยียนกัดด้ามปากกา แล้วเขียนเพิ่มไปอีกเรื่องหนึ่ง
เรื่องที่สาม อีจินและซูเนี่ยนชินต่างก็อาศัยอยู่ในเมือง A
ไม่ได้สิ ซังอู๋เยียนส่ายหน้าแล้วกากบาทลงไป คนที่อาศัยอยู่ในเมือง A มีตั้งมากมาย เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้มีสิ่งของบางอย่างที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าซูเนี่ยนชินใช่อีจินหรือเปล่า นั่นก็คือบันทึกเสียงที่เนี่ยซีสัมภาษณ์อีจิน พบเจอกันตัวต่อตัวมาหลายครั้งขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะแยกแยะเสียงของซูเนี่ยนชินได้แล้ว
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เธอก็ไม่ได้รีบร้อนสักเท่าไรแล้ว
ผ่านไปหลายวันสองแม่ลูกก็ยังไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเสียที แม่ของเธอยังคงชักสีหน้าใส่เธออยู่
เงยหน้าขึ้นไม่เจอก้มหน้าลงก็เจออยู่ดี ฉะนั้นเธอสู้ไม่ออกจากบ้านเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องเจอสวี่เชี่ยนกับเว่ยเฮ่าแล้วถูกชี้หน้าบอกว่าเธอเป็นมือที่สามอีก
อะไรที่เรียกว่ามีทั้งศึกภายนอกและภายในกันนะ นี่เป็นตัวอย่างที่มีอยู่ในชีวิตจริงโต้งๆ เลยล่ะ
วันที่เจ็ดของเดือนตามปฏิทินจันทรคติผ่านไป เพื่อนๆ มากมายต่างก็กลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่องานที่เร่งรีบ ซังอู๋เยียนก็ฉวยโอกาสนี้กลับไปยังเมือง A เช่นกัน ไม่อย่างนั้นถ้าอยู่ที่บ้านไม่ช้าก็เร็วต้องถูกกดดันจนป่วยแน่ๆ
เพิ่งจะมาถึงมหาวิทยาลัยเธอก็รู้สึกเสียใจทีหลังเสียแล้ว
ปีนี้ฉลองปีใหม่กันค่อนข้างช้า วันที่เก้าเดือนหนึ่งตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันที่สิบสี่เดือนกุมภาพันธ์พอดี ภายในมหาวิทยาลัยมีแต่คู่รักเป็นคู่ๆ เหตุผลที่แท้จริงก็คือทุกคนต่างหาข้ออ้างกลับมหาวิทยาลัยก่อนเพื่อที่จะมาพบหน้ากันในวันวาเลนไทน์ต่างหากล่ะ
เฉิงอินไม่ได้ไปไหนเลย
ส่วนซังอู๋เยียนเองก็ว่างไม่มีอะไรทำอยู่ในห้อง จึงเปิดคิวคิว* เม้าท์มอยตลอดทั้งวัน
ตอนกลางคืน อาจารย์หลี่จากโรงเรียนผู้พิการได้ฝากข้อความเอาไว้ในอินเตอร์เน็ต
“อาจารย์ซัง รบกวนคุณสักเรื่องนะคะ”
“ว่ามาเลยค่ะ”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ”
อาจารย์หลี่อธิบาย
ที่แท้ห้องเรียนคนตาบอดก็มีเด็กคนหนึ่งชื่อซูเสี่ยวเวย เป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า พอดีว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของเธอ ปีก่อนอาจารย์หลี่รับปากว่าจะให้เค้กผลไม้กับเธอในวันเกิด แต่ว่าในวันปีใหม่อาจารย์หลี่มีธุระต้องกลับบ้านพอดี ดังนั้นจึงอยากขอให้ซังอู๋เยียนไปแทนเธอหน่อย
ซังอู๋เยียนตอบรับด้วยความเบิกบานใจ
“ไม่มีปัญหาค่ะ”
ภารกิจฝึกสอนของเธอเดิมทีก็ต้องทำตามอาจารย์หลี่อยู่แล้ว เพราะว่าเธอเป็นผู้ช่วยครูประจำชั้นของพวกเขา เวลานี้ยากเย็นกว่าจะมีภารกิจให้ทำบ้าง
ซังอู๋เยียนกล่าวอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะออกไป “ฉันก็ขาดทุกอย่างนั่นแหละนะ แต่ว่าไม่ขาดน้ำใจ”
เฉิงอินกลอกตาใส่เธอ “ขาดหัวจิตหัวใจด้วยสินะ?”
“ฮึ”
ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้ว่าที่แท้ครอบครัวของเสี่ยวเวยจะเป็นแบบนี้ เพียงแต่รู้สึกว่าในคาบเรียนซูเนี่ยนชินค่อนข้างลำเอียงรักใคร่เด็กคนนี้มากเป็นพิเศษเพราะว่าทั้งสองนามสกุลซูเหมือนกัน ตอนแรกซังอู๋เยียนสงสัยว่าเป็นญาติกัน แต่พอมาคิดตอนนี้ ไม่แน่ว่าซูเนี่ยนชินอาจจะรู้ภูมิหลังชีวิตของเสี่ยวเวยก็ได้
จะว่าไปแล้วธรรมดาสถานสงเคราะห์ก็มีความเคยชินแบบนี้อยู่ เด็กใช้นามสกุลตามอาจารย์ในที่ทำงาน จากนั้นหนึ่งปีก็จะสลับสับเปลี่ยนกันหนึ่งครั้ง อย่างเช่น ปีนี้เป็นทีของอาจารย์นามสกุลอู๋ ถ้าเช่นนั้นปีนี้เด็กๆ ที่ถูกส่งตัวมาก็จะนามสกุลอู๋ไปด้วย วันเกิดเองก็ไม่ต่างกันนัก จะไม่ฉลองเพียงคนเดียว นอกเสียจากว่าตอนที่ถูกทอดทิ้งผู้ใหญ่จะมีแก่ใจทิ้งวันเดือนปีเกิดเอาไว้ให้
ตอนที่ซังอู๋เยียนถือเค้กหอมกรุ่นไปที่สถานสงเคราะห์แล้วเห็นเสี่ยวเวย ก็พบว่าเสี่ยวเวยกับเด็กๆ อีกกลุ่มหนึ่งกำลังกินเค้กกันแล้ว
มีซูเนี่ยนชินนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งด้วย
ป้าจางที่สถานสงเคราะห์หัวเราะพลางอธิบายอยู่ข้างๆ “อาจารย์ซูมาถึงก่อนแค่แป๊บเดียวเองค่ะ”
ซังอู๋เยียนมาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่ตลอด ฉวยโอกาสที่ความสนใจของพวกเด็กๆ อยู่ที่การแบ่งเค้กก้อนที่สองก็เอ่ยปากพูดคุยกับป้าจาง
“ถ้าเด็กยังเล็กแล้วไม่ได้มีข้อบกพร่อง ธรรมดาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเท่าไรก็จะมีคนรับไปเลี้ยงค่ะ” ป้าจางอธิบายเสียงขาดเป็นห้วงๆ “บางคนก็หลงทางมา เมื่อไม่กี่วันก่อนสถานีตำรวจส่งเด็กมาสองคน ถูกลักพาตัวมาขาย หาพ่อแม่ไม่เจอ ก็เลยให้มาอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว แต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะถูกพ่อแม่ทอดทิ้งกันน่ะค่ะ”
“เพราะว่าไม่สบายเหรอคะ”
ป้าจางพยักหน้า “บกพร่องมาตั้งแต่เกิด หรือไม่เดิมทีก็อยากได้เด็กผู้ชาย แต่ว่าพอคลอดออกมาแล้วเป็นเด็กผู้หญิงก็เลยทิ้งแล้วค่อยมีใหม่”
“ทำไมถึงได้มีพ่อแม่แบบนี้อยู่บนโลกนี้นะ” ซังอู๋เยียนใส่อารมณ์
“ความจริงแล้วบางคนก็ลำบากใจนะคะ ไม่มีเงินรักษาเด็กๆ ทำได้แค่โยนให้ทางรัฐบาล คุณดูเด็กคนนั้นสิคะ” ซังอู๋เยียนมองตามไปยังบริเวณที่ป้าจางใช้ท่าทางบอกให้รู้ มีเด็กโตอายุสิบกว่าปีที่กอดเด็กเล็กเอาไว้ในอ้อมแขน เด็กเล็กคนนั้นผอมจนกระทั่งตัวเล็กนิดเดียว เลียครีมที่มุมปาก ท่าทางร่าเริง
“ตอนอายุขวบครึ่งก็ถูกทิ้งเอาไว้ที่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ เป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่เกิด พวกเราส่งไปผ่าตัดที่ปักกิ่งสามครั้งถึงช่วยเอาไว้ได้ เสียเงินไปหลายแสน คุณว่าจะมีครอบครัวไหนรับภาระไหวล่ะคะ ถ้าไม่ได้ถูกส่งมาตอนนั้น ก็ไม่แน่ว่าเด็กคนนี้อาจจะตายไปนานแล้ว ครอบครัวเองก็พังทลาย แต่ละครอบครัวต่างก็มีความยากลำบากเป็นของตัวเองนะคะ” ป้าจางถอนใจด้วยความหดหู่
ตอนที่พวกเธอพูดคุยกัน ซูเนี่ยนชินถือไม้เท้ายืนอยู่ที่ใต้หน้าต่างตลอดเวลา สีหน้าหม่นหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้างั้นมีพ่อแม่แท้ๆ ที่กลับมาเอาลูกคืนไปไหมคะ”
“ก็มีนะคะ แต่ไม่มากนักหรอก ส่วนมากก็ยังรอให้มีคนรับไปเลี้ยง แต่จะบอกว่าแต่ละคนไม่มีจิตใจที่เห็นแก่ตัวก็ไม่ได้หรอกค่ะ เด็กที่ถูกรับไปเลี้ยงต่างก็สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์กันทั้งนั้น อีกทั้งยังอายุน้อยด้วย จำอะไรไม่ได้ อย่างเสี่ยวเวยที่ตามองไม่เห็น อีกทั้งยังสิบขวบแล้ว มีความหวังไม่มากแล้ว หวังแต่เพียงว่าจะตั้งใจเรียนให้มีความสามารถสักอย่าง โตไปจะได้เลี้ยงดูตัวเองได้ ถ้าไม่ได้ก็อยู่ช่วยพวกเราทำอะไรๆ ไป คุณดูคนที่โตที่สุดนั่นสิ” ป้าจางกล่าวถึงเด็กโตที่กอดเด็กเล็กอยู่เมื่อสักครู่ “เกรดดีเชียวล่ะ อาจารย์ที่โรงเรียนให้เธอไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย ขอแค่สอบได้ พวกเราก็จะอุปการะให้เธอเรียนต่อไป”
เมื่อออกมาจากสถานสงเคราะห์ หลังจากที่ซังอู๋เยียนได้มอบจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักให้แก่คนอื่นแล้ว ก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจไปทั่วทั้งร่างกาย แต่ก็ยังรู้สึกกดดันอยู่บ้าง
เธอจากมาพร้อมๆ กับซูเนี่ยนชิน เธออยู่ข้างหน้าจึงชำเลืองกลับไปมองเขา เขาเม้มริมฝีปากบาง ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม
“คุณจะไปไหนคะ ฉันจะไปส่ง” ซังอู๋เยียนถาม
“ไม่ต้องหรอก” ซูเนี่ยนชินคลำหาเก้าอี้ข้างทางพลางนั่งลง
“จะว่าไป ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากถามคุณค่ะ”
เขาปิดปากเงียบไม่พูดอะไร ซังอู๋เยียนจึงทำได้แต่เพียงพูดต่อไปเอง
“คุณคงไม่ใช่อีจินใช่ไหมคะ”
ซังอู๋เยียนกล่าวจบก็สังเกตดูสีหน้าของซูเนี่ยนชิน เขามีท่าทางหนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน ทำราวกับว่าไม่ได้ยิน คร้านจะสนใจเธอ
สักครู่เธอก็มีน้ำโห “อย่างน้อยๆ ตอบสักหน่อยก็ได้มั้งคะ ต่อให้คุณไม่อยากยอมรับ หรือจะปลอมตัวเป็นเขา ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ทำเหมือนว่าถ้าคุยกับฉันอีกสักประโยคแล้วจะติดโรคร้ายแรงอย่างนั้นแหละ” ซังอู๋เยียนกล่าวอย่างรวดเร็ว พ่นคำพูดฉอดๆ ยาวเป็นพืดออกมา
“คุณก็ไปตามทางของคุณสิ ผมนั่งอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ขวางทางคุณเสียหน่อย แต่ว่าขอร้องอย่าได้มายืนใกล้ๆ ผม แล้วก็อย่าสร้างความรำคาญให้ผมด้วย” ซูเนี่ยนชินฉุนเฉียวขึ้นเล็กน้อย
มองดูเขาโมโห ซังอู๋เยียนกลับรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นกะทันหัน “อาจารย์ซู คุณว่ายังไงนะ เมื่อสักครู่ฉันเดินอยู่ข้างหน้าคุณตามหลังมา ตอนนี้คุณนั่งอยู่ฉันก็ยืนอยู่ ถึงแม้คุณจะจองเก้าอี้เอาไว้แล้ว แต่ถนนเส้นนี้ครอบครัวของคุณไม่ได้เป็นคนสร้างไว้ ฉันจะยืนตรงไหนก็ได้ ขอแค่ฉันพอใจ ฉันมีสิทธิ์ค่ะ”
ซูเนี่ยนชินหลับตาลงพยายามอดกลั้นเอาไว้ เขาเป็นผู้ชายซ้ำยังโตแล้ว ไม่อยากอารมณ์เสียใส่เด็กสาวกลางถนน
ถ้าหากซังอู๋เยียนถอยไปก็รอดกลับไปได้แล้ว แต่เธอกลับนั่งชิดกับเขาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
เมื่อซูเนี่ยนชินรับรู้ได้ก็เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง เขาทำอะไรเธอไม่ได้ แต่เขาหลบเลี่ยงเธอได้
“ให้ฉันไปส่งนะคะ”
ชายหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
“คุณนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ฟ้าใกล้มืดแล้ว ต้องกินข้าวเย็นนะคะ หรือว่าคุณรอคนมารับ”
ชายหนุ่มไม่พูดไม่จา
“คุณรออยู่เฉยๆ ไม่เซ็งหรอกเหรอ ฉันอยู่คุยเป็นเพื่อนได้นะคะ”
ชายหนุ่มหลับตาลงพักผ่อน ยังคงนิ่งเงียบต่อไป
“คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วเท่หรือไงคะ”
ซังอู๋เยียนพูดคนเดียวอยู่เป็นนานสองนาน เขาก็ไม่แสดงความเห็นอะไรเลย เธอจึงอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองอย่างหนัก “นี่ คุณพูดอะไรหน่อยสิ”
“ดูเหมือนว่าผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พูดนะ” ซูเนี่ยนชินเอ่ยปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน จากนั้นก็ปิดปากลง ไม่พูดอะไรออกมาอีก