บทที่ 2 ผับปกติ
ไม่ได้พบหน้ากันเสียหลายปี ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เจอกันจวบจนวันนี้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลยสักครั้ง มันรางเลือนเสียจนเวินอี่ฝานแทบจะลืมไปแล้วว่ายังมีคนผู้นี้อยู่
ทว่าเธอก็ยังคงจำได้
ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน บรรยากาศไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่
เธอไม่ได้คาดหวังให้เขาเข้ามาช่วยเหลือถามไถ่ในตอนที่เห็นเธอมีสภาพเช่นนี้
ความคิดแวบแรกของเวินอี่ฝานก็คือเขาอาจจะจำคนผิด ทว่าก็มีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาคืออาจจะเป็นไปได้ว่าหลายปีมานี้ซังเหยียนค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นคนใจกว้าง ไม่ใส่ใจกับเรื่องราวในอดีตพวกนั้นแล้ว ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความบาดหมางครั้งเก่าก่อน เป็นเพียงแค่การสนทนาเมื่อได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง
เวินอี่ฝานเลิกล้มความคิดเหล่านั้นแล้วยื่นเสื้อแจ็กเก็ตคืนเขา แววตาแฝงไปด้วยคำถามและความสงสัย
ซังเหยียนไม่ได้รับเสื้อแจ็กเก็ตคืนมา เขามองผ่านมือเธอไป จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ผมคือเจ้าของผับแห่งนี้ครับ”
มือของเวินอี่ฝานชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ปฏิกิริยาของเธอออกจะเชื่องช้าอยู่บ้าง
วินาทีนั้นเธอยังไม่ค่อยเข้าใจ
ความหมายคือเขากำลังแนะนำตัวเอง? หรือจะโอ้อวดว่าตอนนี้เขามีหน้าที่การงานดีแค่ไหน ยังหนุ่มยังแน่นก็เป็นเฟยหวงทะยานฟ้า* แล้ว เป็นถึงเจ้าของผับ
ในสถานการณ์เช่นนี้เธอยังเบี่ยงเบนความสนใจ ใจลอยไปนึกถึงคำพูดของจงซือเฉียว
‘เจ้าของผับนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปแห่งถนนตั้วลั่วเลยล่ะ’
เวินอี่ฝานอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองใบหน้าชายหนุ่มเสียหลายที
ผมเขาดกดำ ดวงตาเป็นประกายดำขลับ คิ้วคมเข้มได้สัดส่วน ภายใต้แสงไฟสลัวแบบนี้ยิ่งทำให้เขาดูเย็นชา
ความใจร้อนดื้อรั้นในอดีตจางลงไปบ้างแล้ว หน้าตาอ่อนเยาว์แปรเปลี่ยนเป็นมีอำนาจเฉียบขาด ร่างผอมสูงดูแข็งแรงบึกบึน เสื้อสีดำก็ไม่อาจบดบังความหยิ่งยโส ไม่แคร์ใคร เอาแต่ใจ และยึดตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางลงได้
หากจะบอกว่าเขาเป็นตัวท็อป…ก็ดูสมคำเล่าลือจริงๆ
ซังเหยียนโพล่งออกมาอีกช้าๆ เพื่อดึงสติของเธอกลับมา
“ผมแซ่ซังครับ”
“…”
เขาบอกว่าเขาแซ่ซัง? ดังนั้นก็หมายความว่าเขาจำฉันไม่ได้ เขากำลังแนะนำตัวเองอยู่สินะ
พอเวินอี่ฝานเข้าใจถึงสถานการณ์จึงเอ่ยอย่างสงบ “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับ เพราะความผิดพลาดของพวกเรารบกวนและสร้างความไม่สะดวกสบายให้กับคุณ” ซังเหยียนกล่าว “หากคุณต้องการอะไร บอกผมได้เลยนะครับ อีกอย่างทางร้านเราจะไม่คิดค่าเครื่องดื่มทั้งหมดของคุณในคืนนี้ หวังว่าคงจะไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ดีๆ ของคุณนะครับ”
ชายหนุ่มกล่าวคำว่า ‘คุณ’ ในทุกประโยค ทว่าเวินอี่ฝานกลับไม่รู้สึกว่าเขากำลังให้เกียรติเธอเลยสักนิด
น้ำเสียงของเขายังคงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา พูดจาก็คล้ายพูดอย่างขอไปที ฟังดูเกียจคร้าน เย็นยะเยือก และน่าตีนัก
เวินอี่ฝานส่ายหน้า เอ่ยอย่างสุภาพ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่เป็นไร”
พอได้ยินที่เธอพูด คิ้วของซังเหยียนก็คลายลงคล้ายจะถอนใจโล่งอก เขาคงคิดว่าเธอเจรจาง่าย น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นมาบ้าง เอ่ยพลางพยักหน้า