“เชอเยี่ยนฉิน แต่ก่อนค่าผ่าตัดของคุณ พ่อฉันก็เป็นคนออกให้ไม่ใช่เหรอ” เวินอี่ฝานเอ่ย “ตอนพวกคุณจ่ายค่าเทอมของเวินหมิงไม่ไหว ไม่ใช่พ่อฉันหรอกเหรอที่เป็นคนออกตังค์ให้ ตอนเวินเหลียงเสียนจะซื้อบ้าน เขาขาดเงินไปตั้งหลายหมื่น พ่อฉันก็เป็นคนช่วยไม่ใช่เหรอ พ่อฉันไปทวงเงินจากพวกคุณหรือเปล่า ทำไมพวกคุณต้องทำกับฉันแบบนี้ ใครกันแน่ที่เป็นจิ้งจอกตาขาว”
ผ่านไปหลายวินาทีเชอเยี่ยนฉินก็เอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “นั่นเป็นเพราะพ่อเธอยอมให้มาเองต่างหากล่ะ”
“…”
“เธอไม่อยากติดต่อพวกเราแล้ว? ได้” เชอเยี่ยนฉินเอ่ย “ได้ยินมาว่าแฟนที่เธอคบอยู่ในตอนนี้รวยดีนี่ ถ้าเธอจะแต่งงานกับเขา ให้เขาจ่ายค่าสินสอดมาก่อนนะ ขอสักหลายแสนหยวน อีกอย่างน้าของเธอไปที่ผับของแฟนยังต้องจ่ายเงินด้วยเหรอ นี่มันหลักการบ้าบออะไรกัน”
เวินอี่ฝานรู้สึกว่าไร้สาระ เธอตระหนักได้ว่าคำพูดเหล่านี้เหมาะสมกับคนอย่างเชอเยี่ยนฉินแล้ว เธอจึงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบ น้ำเสียงนุ่มนวลที่สุด แต่คำพูดก็ดูโหดร้ายที่สุด
“เอาแต่มาคาดหวังในตัวฉัน คุณไม่ลองไปซื้อประกันให้ตัวเองดูล่ะ เผื่อเกิดอุบัติเหตุตายขึ้นมา”
“นี่! พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย!” เชอเยี่ยนฉินตวาด “ถ้าเธอไม่ยอมให้เงินฉัน ฉันจะไปขอจากแม่เธอเองก็ได้!”
“คุณจะไปขอเงินจากใครก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ฉันขอให้คุณไปเจอพ่อฉันเร็วหน่อยแล้วกันนะ” เวินอี่ฝานหัวเราะเสียงเย็น “ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพวกคุณยังมาระรานคนข้างกายฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจทันที”
เธอวางสายทันทีแล้วเพิ่มเบอร์นี้ลงในแบล็กลิสต์
ภายในห้องก็เงียบงันลงอีกครั้ง
ก่อนที่จะเจรจากับคนพวกนี้ เวินอี่ฝานไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองก็มีด้านนี้อยู่เหมือนกัน เธอคิดแต่เพียงว่าต้องการจะระบายความอัดอั้นตันใจกับคนทางปลายสาย พอความเดือดดาลพลุ่งพล่านหายไป เธอก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเหนื่อยกายเหนื่อยใจสิ้นดี ยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิมพลางกำมือถือไว้
เธอไม่รู้ว่าที่ทำลงไปเช่นนี้จะช่วยอะไรได้หรือไม่ คิดเพียงว่าตัวเองควรจะทำอะไรสักอย่าง
พอใจเย็นลง อีกความรู้สึกหนึ่งก็ค่อยๆ เข้ามาแทนที่ เธอนึกถึงซังเหยียนที่อยู่นอกห้องขึ้นมาอีกครั้ง การตระหนักถึงผลได้ผลเสียอย่างแรงกล้านั้นก็ปะทะเข้ามาในเวลานี้
เธอควบคุมตนเองไม่ได้เลย จึงลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง
แสงไฟในห้องรับแขกยังสว่างอยู่
ซังเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาที่เดิม ดูเหมือนจะยังเล่นเกมอยู่ แต่ท่าทางกลับดูใจลอยอยู่บ้าง เมื่อหางตาเขาเหลือบมาเห็นเงาร่างเธอจึงเลิกคิ้วน้อยๆ ถามขึ้นอีก
“ทำไม พวกเราเพิ่งเจอกันเองไม่ใช่เหรอ”
“…”
น้ำเสียงของเขาสบายๆ “วันนึงเธอต้องเจอหน้าฉันกี่ครั้งเนี่ย”
จมูกเธอฟึดฟัดเล็กน้อย ตอบอืมไปเบาๆ พอเดินไปตรงหน้าชายหนุ่ม เธอก็ยกขาก้าวขึ้นไปบนโซฟาแล้วข้ามไปนั่งบนตักเขา สบตาในระดับเดียวกัน
“เธอนี่เป็นจอมบงการจริงๆ เลยนะ” เธอมานั่งบดบังสายตาเขา ซังเหยียนหลุบตาลง เอ่ยเนิบๆ “เธอไม่ให้ฉันกินเหล้า ไม่ให้สูบบุหรี่ ไม่ให้กินน้ำเย็น ไม่ให้นอนดึก ตอนนี้แม้แต่เกมก็ยังไม่ให้ฉันเล่นเหรอ”
เวินอี่ฝานจ้องเขาสักครู่
ซังเหยียนคว้าข้อมือเธอไว้แล้วลูบเบาๆ
ครู่ต่อมาจู่ๆ เวินอี่ฝานก็เกี่ยวคอเขาไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง แล้วงับริมฝีปากเขาเบาๆ ปลายลิ้นแทรกเข้าไปเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขา ท่าทางดูเงอะงะอยู่บ้าง
คล้ายว่ากำลังอยากจะยืนยันอะไรบางอย่าง