ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการโทรศัพท์ในครั้งนั้นได้ผล หรือเป็นเพราะเธอคิดไปเอง หลังจากนั้นมาเวินอี่ฝานก็ไม่เห็นหน้าเชอซิงเต๋ออีก แล้วก็ไม่ได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดถึงคนผู้นี้ด้วย
ในวีแชตของจ้าวหยวนตงก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องครอบครัวลุงใหญ่อีก
เมื่อคนพวกนั้นไม่มาตามราวีเธอ อารมณ์ของเธอก็ค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติ
ต่อมาเวินอี่ฝานก็ติดต่อที่ปรึกษาเซลส์ขายรถผ่านทางวีแชตในบางครั้ง
เดิมทีเธอเลือกรถไว้แล้ว เหลือเพียงแต่ไปจ่ายเงินและดำเนินขั้นตอนการซื้อ ทว่าจงซือเฉียวก็มาโน้มน้าวเธอ บอกว่าให้รอช่วงวันชาติ พอถึงเวลานั้นบริษัทรถก็จะจัดโปรโมชั่นอีก ราคาก็จะถูกลงไม่น้อย
เวินอี่ฝานถูกโน้มน้าวเสียจนรู้สึกว่าที่เพื่อนพูดก็ฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง ท้ายที่สุดเลยคิดว่ารอไปอีกสองสามเดือนก็แล้วกัน
ด้วยเหตุนี้แผนที่วางไว้ว่าจะซื้อรถจึงถูกเลื่อนออกไป
ส่วนซังเหยียนก็ไม่ค่อยได้ออกความเห็นในเรื่องนี้ อีกทั้งไม่ได้แสดงความหงุดหงิดที่ต้องมารับเธอทุกวัน เพียงแต่พูดไปเรื่อยเปื่อยว่าถ้าเธอจะใช้รถก็ขับรถของเขาไปได้
จากการมาเยือนของช่วงที่ร้อนที่สุด อุณหภูมิในเมืองหนานอู๋ก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ปลายเดือนกรกฎาคมคล้ายว่าอุณหภูมิจะพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุด แสงอาทิตย์ร้อนแรง ไอความร้อนลอยสูงขึ้นจากพื้นปูนซีเมนต์ ทำให้คนยิ่งใจร้อนขึ้นบ้างด้วยเหตุนี้
เวินอี่ฝานได้รับสายด่วน แจ้งว่ามีร้านอาหารแฟรนไชส์ร้านหนึ่งที่สุขอนามัยไม่ได้มาตรฐาน ส่งผลให้ลูกค้าหลายคนมีอาการอาเจียนและท้องเสีย ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ขณะนี้สำนักงานกำกับอาหารและยาเข้าไปตรวจสอบแล้ว
หลังจากรวบรวมเอกสารเรียบร้อย เวินอี่ฝานก็เบิกรถสัมภาษณ์กับทางสถานีโทรทัศน์ แล้วออกจากออฟฟิศไปกับฟู่จ้วง
ทว่าเพิ่งเดินออกจากตึก ฟู่จ้วงก็เกาหัว จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยดี
“พี่ ผมลืมหยิบมือถือมาด้วยอะครับ พี่รอผมอยู่ตรงนี้สักสองนาทีนะ ผมจะรีบไปรีบมาครับ”
“…” เวินอี่ฝานแบกอุปกรณ์อยู่ เอ่ยอย่างจนใจ “รีบไปเถอะ”
“ครับ!” ฟู่จ้วงวิ่งไปด้านในตึกพลางตะโกน “แป๊บเดียวครับ!”
เวินอี่ฝานหยิบมือถือออกมาขณะยืนรออยู่ที่เดิม พอยืนนานเข้าก็รู้สึกว่าพวกอุปกรณ์ที่แบกไว้มันหนักอยู่บ้างจริงๆ เธอครุ่นคิดชั่วครู่แล้วก็ส่งข้อความไปหาฟู่จ้วง
เวินอี่ฝาน : พี่จะไปรอนายอยู่ในรถนะ
จากนั้นเธอก็ก้าวเท้าเดินไปทางลานจอดรถ
พอเวินอี่ฝานหาตำแหน่งรถเจอ ขณะกำลังจะเดินไปที่รถ จู่ๆ ก็มีคนมาดึงสายรัดกระเป๋าเป้ด้านหลัง เธอไม่ได้เตรียมป้องกันแต่อย่างใด เลยผงะถอยตามแรงดึงไปสองสามก้าวแล้วรีบหันไปมองทันที
คล้ายประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
สายตาเธอปะทะเข้ากับใบหน้าของเชอซิงเต๋ออย่างจัง คล้ายวิญญาณยังไม่ยอมไปผุดไปเกิด
“ในที่สุดก็เจอเธอสักทีนะ” เชอซิงเต๋อแสยะยิ้มอย่างกับอันธพาล เขาคลายมือออกตามท่าทีของเธอ “เธอนี่แน่มากนะ ช่วงนี้น้ามาทุกวัน ไม่เจอเธอเลยสักครั้ง เธอก็ไม่ต้องทำมาเป็นหลบน้าอย่างนี้หรอก”
เวินอี่ฝานเงยหน้ามองกล้องวงจรปิด “ที่ฉันเคยบอกคุณไปยังไม่ชัดอีกเหรอ”
“เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย” คราวนี้เชอซิงเต๋อชี้แจงถึงเจตนาการมาให้เธอฟังอีกครั้งอย่างชัดแจ้ง “ได้ งั้นน้าก็จะพูดกับเธอให้ชัดนะ อยากจะสลัดพวกเราให้หลุด ได้ เธอก็ให้เงินมาหมื่นนึงสิ”
“…”
“น้ามาเบิกค่าที่ถูกแฟนเธอขูดรีด ไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุขไปได้”
เวินอี่ฝานทำเหมือนไม่ได้ยิน เธอไม่สนใจเขาแล้วเดินขึ้นหน้าต่อ