“เวินอี่ฝาน” ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงไปมา “เธอนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างมั้ย”
เขารู้สึกว่าเธอและเขาดูเหมือนจะเขยิบเข้าใกล้กันได้เพียงเท่านี้
ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเพื่อเธออีก ก็คงไม่มีทางที่จะเดินเข้าไปในหัวใจของเธอได้
“ฉันเข้าใจว่าเธอมีเรื่องที่ไม่อยากพูด ได้ ไม่เป็นไร เธออยากจะเล่าให้ฉันฟังเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แม้แต่เรื่องนี้เธอยังไม่เล่าให้ฉันฟัง” ซังเหยียนปล่อยมือออก ค่อยๆ พูดต่อจนจบ “เธอไม่เชื่อใจฉันใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้นนะ” ไม่ใช่ว่าเวินอี่ฝานจะไม่เคยเห็นซังเหยียนโมโห ทว่าในเวลานี้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจเหลือเกิน “เพียงแต่นายกำลังจะไปเมืองอี๋เหอ แล้วฉันก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเรื่องนี้ เลยไม่อยากให้นายเป็นห่วงอะ”
ซังเหยียนไม่พูดอะไรอีก เพียงแต่จ้องหน้าเธอ
ผ่านไปครู่ใหญ่ความรู้สึกในดวงตาเขาค่อยๆ จางหายไป ความโกรธจัดคล้ายว่าจะดับมอดลง กลับไปสู่ท่าทางรักษาระยะห่างอย่างคนแปลกหน้าเหมือนในยามปกติ
เขาไม่ได้พูดเรื่องนี้ต่อ หยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“ฉันวางกุญแจไว้ตรงนี้ หลายวันนี้เธอก็ขับรถไปทำงานและขับรถกลับเองแล้วกัน ก่อนนอนก็ล็อกประตูบ้านด้วย”
“…”
ซังเหยียนหลุบตาลง ค่อยๆ ดึงขากางเกงของเธอลงมาให้เรียบร้อย จากนั้นก็อุ้มเธอลงมาจากตู้รองเท้า ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อครู่ที่พวกเขาทะเลาะกันคล้ายเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ฉันไปล่ะ” ซังเหยียนไม่หันมามองเธออีก เขาเปิดประตูบ้านพลางพูด “เธอไปพักผ่อนเถอะ”
เวินอี่ฝานจ้องประตูที่ถูกปิดลง เธออยากจะเดินตามเขาไปในทันที แต่เป็นเพราะประโยคสุดท้ายที่ซังเหยียนพูด ดูจากน้ำเสียงและสีหน้า คล้ายว่าจะแสดงถึงความผิดหวังอยู่บ้าง เธอจึงค่อยๆ หยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวเท้าตามไป
ท่าทางแบบนั้นเวินอี่ฝานคุ้นตามาก
คล้ายกับตอนที่เธอเจอเขาครั้งสุดท้าย ก่อนจะมาพบกันใหม่
เวินอี่ฝานไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดไปหรือเปล่า
เธอทำผิดเหมือนเดิมอีกแล้วใช่มั้ย
เธอเพียงอยากทำดีกับเขาให้มากหน่อย คิดเพียงว่าอยากให้เรื่องพวกนั้นที่ยากจะรับได้ในชีวิตเธออยู่ห่างจากตัวเขา เพียงแค่อยากให้เขารู้สึกว่าการคบกับเธอเป็นเรื่องสบายใจและธรรมดาอย่างที่สุด เธอเพียงอยากให้เขาอยู่ข้างกายเธอตลอดไป
ทว่าดูเหมือนเธอยังทำได้ไม่ดีพอ
คล้ายว่าเธอไปทำร้ายซังเหยียนซ้ำอีกครั้ง
เวินอี่ฝานยืนอยู่ที่เดิมอย่างใจลอย จู่ๆ เธอก็หันไปมองนาฬิกาบนผนัง
เกือบทุ่มครึ่งแล้ว
เธอกลัวว่าเขาจะเรียกรถไม่ได้จึงเลิกล้มความคิดตอนนี้ไปโดยพลันแล้วหยิบกุญแจรถ เปิดประตูออกไปทันที เธอหยิบมือถือออกมาส่งข้อความไปหาซังเหยียน
เวินอี่ฝาน : ฉันไปส่งนายแล้วกัน เวลานี้เรียกรถยาก
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็พิมพ์ต่อไปอีกว่า ‘รอให้นายกลับมา พวกเราค่อยมาคุยกันดีมั้ย’
ทว่ายังไม่ทันส่งออกไป ซังเหยียนก็ตอบมาพอดี
ซังเหยียน : ไม่ต้อง
ซังเหยียน : ฉันขึ้นรถแล้ว
ปลายนิ้วเธอชะงักในทันใด ฝีเท้าก็หยุดตามไปด้วย ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงลบคำที่พิมพ์ในช่องทิ้งไปแล้วพิมพ์ใหม่
เวินอี่ฝาน : งั้นนายก็ระวังตัวด้วยล่ะ
เวินอี่ฝาน : ถ้าถึงแล้วบอกฉันด้วยนะ
เวินอี่ฝานหลุบตาลง