ตอนที่เวินอี่ฝานกลับถึงห้องก็เกือบจะตีสองแล้ว
การนอนดึกถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอ แต่ตอนนี้เธอกลับไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด แค่รู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากขยับ เธอเปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะแล้วนั่งลงบนพรมข้างเตียง สไลด์มือถือไปอย่างเซ็งๆ
เพราะก่อนหน้านี้เธอส่งข้อความไปให้หลายคน บวกกับมีสายที่ไม่ได้รับและข้อความที่ยังไม่ได้อ่านอยู่ไม่น้อย
เวินอี่ฝานสไลด์หน้าจอต่อไปแล้วตอบทีละข้อความ จนสไลด์ไปถึงข้อความด้านล่างก็ยังไม่เห็นวี่แววการตอบกลับจากซังเหยียนเลย
เธอเลยคลิกเข้าไป
เหลือบมองประโยค ‘ไม่สุขสันต์ก็ได้นะ’ เวินอี่ฝานก็เครียดขึ้นมาโดยพลัน
“…”
ตอนนั้นเธอไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่อยากล้อเขาเล่นเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่ปกติ
ทว่าตอนนี้พอมาคิดดูแล้วทำไมเธอถึงรู้สึกเปลี่ยนไป
มันดูคล้ายการยั่วยุ
เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่อยากจะสนใจเธอ เวินอี่ฝานก็ไม่ส่งข้อความไปทำให้ตัวเองลำบาก เธอเริ่มใจลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นึกย้อนไปถึงบทสนทนาระหว่างซังเหยียนและซังจื้อน้องสาวของเขาขึ้นมาอย่างประหลาด
จากนั้นเธอก็นึกย้อนกลับไปถึงตอนที่อยู่ ม.4
ตอนนั้นเธอและเขาสอบได้คะแนนพอๆ กัน จัดอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางล่างและอยู่ในห้องบ๊วยของชั้นปี
เวินอี่ฝานสอบเข้าโรงเรียนหนานอู๋อีจงด้วยความสามารถพิเศษด้านการเต้นรำ คะแนนวิชาทั่วไปของเธอจึงไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แต่ซังเหยียนกลับทำคะแนนได้ดีในบางวิชา ส่วนคะแนนวิชาอื่นก็แย่เช่นกัน นอกจากวิชาในสายวิทย์ ได้แก่ คณิตศาสตร์ ชีวะ และเคมีซึ่งเขาทำได้ดีอยู่แล้ว เขาก็ไม่เคยจะสนใจเรียนวิชาอื่นเลย ใบคะแนนแต่ละครั้งดูแย่อย่างกับโดนสุนัขแทะ
ซังเหยียนสอบวิชาคณิตศาสตร์ ชีวะ และเคมีได้คะแนนเกือบเต็ม ส่วนวิชาอื่นโดยมากแล้วก็ได้เพียงสามสิบสี่สิบคะแนนเท่านั้น
ทุกครั้งที่คะแนนสอบออกมา ซังเหยียนจะหยิบคะแนนวิทยาศาสตร์มาดูก่อนพลางเลิกคิ้วยิ้มๆ
พอผ่านไปหลายครั้งเข้า ถึงเวินอี่ฝานจะเป็นคนใจเย็นแค่ไหนก็อดที่จะบ่นไม่ได้ ‘ซังเหยียน นายมาดูข้อสอบของฉันมันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ นายจะต้องทำความเข้าใจปัญหาจากข้อที่นายทำผิดสิ’
‘หืม? เธอเข้าใจฉันผิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย’ ซังเหยียนช้อนตามองเธอ เขาใช้นิ้ววงรอบกากบาทสีแดงบนข้อสอบของเธอ พูดอย่างเอ้อระเหยและน่าตีนักว่า ‘ข้อสอบของฉันไม่มีอันนี้นะ’
เวินอี่ฝานพยายามระงับอารมณ์ แล้วหยิบเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเข้าไปอาบน้ำ
เรื่องที่ซังเหยียนจงใจทำเป็นไม่รู้จักเธอ จริงๆ เธอก็เข้าใจได้
เธอเดาว่าในชั่วพริบตาที่เขาเจอเธอก็คงจะนึกถึงช่วงวัยเยาว์ที่บ้าระห่ำ ที่เคยทำเรื่องโง่ๆ ไปเพื่อคนที่ไม่คู่ควร นึกถึงประวัติศาสตร์อันเลวร้ายครั้งหนึ่งที่เคยประสบพบเจอมาในชีวิต และด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากยุ่งกับเธออีก
แสร้งทำเป็นไม่รู้จักคือทางเลือกที่ดีที่สุด
เมื่อนึกถึงจุดนี้เวินอี่ฝานก็เข้าใจมุมมองของซังเหยียน
เด็กสาวผู้เป็นที่รักที่เขาเคยชื่นชมนักหนา ทั้งๆ ที่เขาลืมเลือนเธอไปนานแล้ว แต่จู่ๆ เธอก็มาโผล่ที่ผับของเขา แล้วยังพูดประมาณว่ามาเพื่อเหล่ผู้ชายอีก
เธอจงใจทำสร้อยข้อมือตกไว้เพื่อจะได้พบกับเขาเป็นครั้งที่สอง
เธอจงใจส่งข้อความอวยพรมาให้เขา พยายามจะทำตัวเป็นมิตร
ท้ายที่สุดยังมาแกล้งทำเป็นโดนคนชน เนื้อตัวจึงสัมผัสถูกเขา
“…”
และก็ไม่รู้ว่าคราวนี้เขาจะมโนถึงเรื่องอะไรอีก