หากเป็นวันธรรมดาทั่วไปเสิ่นเสี่ยอี้จะต้องโต้ตอบกลับไปในทันทีแน่ แต่ด้วยวันนี้เป็นวันดีของสำนักงานทนายความ เธอจะทำลายชื่อเสียงของที่ทำงานตัวเองไม่ได้เด็ดขาด อีกทั้งจูอันไหวเดิมทีก็มีความคิดจะมาหาเรื่องอยู่แล้วด้วย
“ไม่คิดว่าคุณจูไปรับโทษตั้งหลายเดือน ความขี้เหล้าจะไม่ลดน้อยลงเลยนะคะ” เสิ่นเสี่ยอี้รับแก้วเหล้าที่จูอันไหวยื่นให้พลางยิ้มแล้วดื่มอึกหนึ่ง
ตอนที่จูอันไหวจากไปก็ยังไม่ลืมที่จะมองตาขวางใส่เสิ่นเสี่ยอี้อย่างอำมหิต
กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้เกิดอาการมึนเมา เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกวิงเวียน เธอก็พบว่าเฉียวหานหมิ่นจากสำนักงานทนายความถังเฉียวกำลังส่งแขก ผู้คนทยอยบอกลากันไป เสิ่นเสี่ยอี้เองก็ช่วยส่งแขกด้วย ส่วนหญิงสาวหลายคนที่รายล้อมพยายามตีสนิทลี่เจ๋อเหลียงพอเห็นว่าคนในงานแทบจะไปกันหมดแล้วถึงได้เลิกราไปด้วยความกระดากอาย
สุดท้ายเฉียวหานหมิ่นก็โยนคำพูดใส่เสิ่นเสี่ยอี้เสียอย่างนั้น “เสี่ยอี้ ไปส่งคุณลี่สิ”
เสิ่นเสี่ยอี้มองเฉียวหานหมิ่นแวบหนึ่งด้วยความประหลาดใจ แต่ก็จำใจต้องฟังคำสั่งของอีกฝ่าย
ดังนั้นเธอจึงเข้าไปนั่งในรถของลี่เจ๋อเหลียง โดยมีจี้อิงซงเป็นคนขับรถ บนที่นั่งข้างคนขับก็คือเสี่ยวหลิน
ลี่เจ๋อเหลียงกับเธอนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เธอรู้ว่าเขาเป็นลูกค้ารายใหญ่ จำเป็นต้องให้ความเคารพเป็นอย่างมาก ทว่าลี่เจ๋อเหลียงคนนี้ข้างหน้าก็มีคนขับรถ อีกข้างก็มีเลขาฯ ยังมีความจำเป็นอะไรที่ต้องให้เธอไปส่งเขาด้วยเล่า
แต่นี่ก็ถือเป็นเคราะห์ดีในเคราะห์ร้าย ยังดีที่เฉียวหานหมิ่นไม่ได้เรียกเธอให้ไปส่งจูอันไหว
รถแล่นมาถึงถนนเอ้าถี่ตง ไม่รู้ว่าคอนเสิร์ตของดาราคนไหนกำลังเลิกพอดี รถราวิ่งขวักไขว่ แน่นขนัดเสียจนถนนใหญ่แออัดผ่านเข้าไปไม่ได้ รถของพวกเขาแล่นๆ หยุดๆ เสียเวลาอยู่เนิ่นนาน
การจราจรติดขัดอยู่ยี่สิบกว่านาที โชคดีที่แอร์ในรถเย็นสบายมาก ทั้งยังกั้นเสียงได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นจึงทำให้คนที่นั่งอยู่ในรถรู้สึกสบายใจขึ้นได้
เสี่ยวหลินเห็นว่าอีกไม่นานรถก็จะแล่นไปถึงทางแยกแล้วจึงหันกลับมาถาม “คุณลี่คะ พวกเราจะไปที่…” คำว่า ‘ไหน’ ที่เหลือยังไม่ทันได้ออกจากปากเธอก็หยุดไว้เสียก่อน
เธอเห็นศีรษะของเสิ่นเสี่ยอี้เอนพิงกระจกหน้าต่างโดยที่เจ้าตัวผล็อยหลับไปเสียแล้ว ส่วนเจ้านายของเธอก็ดูเหมือนจะเห็นแล้วเช่นกัน เพียงนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่อีกฟากหนึ่ง
“คุณลี่คะ” เสี่ยวหลินเรียกเขาเบาๆ
“หืม?”
“พวกเรา…” เธอทิ้งช่วงกลางคัน สื่อถึงประโยคที่ต้องการจะถามว่า ‘ควรทำอย่างไรดี’
ลี่เจ๋อเหลียงลืมตาขึ้น มองไปยังใบหน้าที่หลับใหลของเสิ่นเสี่ยอี้แล้วเม้มปากครุ่นคิด
“ไปส่งเธอที่บ้านคุณ”
เรื่องนี้…เสี่ยวหลินคิดว่าก็ทำได้เพียงเท่านี้แล้ว เพราะเธอพบว่าเสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้หลับ แต่ว่าเมาเหล้าต่างหาก
รถมาถึงชั้นล่างของอาคาร เสี่ยวหลินเปิดประตูรถออกแล้วเข้าไปหมายจะประคองเสิ่นเสี่ยอี้ ทว่าเสิ่นเสี่ยอี้หลับสนิทโดยสมบูรณ์ อาศัยเพียงเรี่ยวแรงของหญิงสาวคนเดียวนั้นไม่มีทางยกเธอได้เลย เสี่ยวหลินขอความช่วยเหลือจากจี้อิงซง แต่จี้อิงซงกลับไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย ยังคงนั่งไม่ขยับเขยื้อนรอให้ลี่เจ๋อเหลียงปริปาก
“นายส่งเลขาฯ หลินกลับไปก่อน ฉันจะประคองคุณเสิ่นขึ้นไปเอง” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวกำชับกับจี้อิงซงง่ายๆ
ประโยคนี้กล่าวได้กะทันหันเสียเหลือเกิน อีกนิดก็เกือบทำให้เสี่ยวหลินตกใจอ้าปากค้างแล้ว ส่วนจี้อิงซงยังคงอยู่ในท่าทางที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือนเหมือนอย่างเคย เขาดูไม่ตื่นตะลึงเลยสักนิด เพียงบอกเสี่ยวหลินให้ส่งกุญแจมาอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ดึงตัวเธอจากไป
“นี่ คุณลี่เขา…” นี่มันส่งแพะเข้าปากเสือชัดๆ เลยนี่นา ดีร้ายอย่างไรเธอก็นับว่าเป็นเพื่อนกับเสิ่นเสี่ยอี้ จะทนเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร
“อิงซง…” คำพูดของเสี่ยวหลินเพิ่งออกจากปาก แต่เมื่อเห็นสายตาของจี้อิงซงเหลือบมองมาเธอก็รีบหุบปากฉับทันที
เจ้านายของเธอลี่เจ๋อเหลียงเก่งกาจตรงที่เขารู้ว่าควรใช้คนแบบไหนจัดการเรื่องอะไร อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าหากคนตรงหน้าเธอไม่ใช่จี้อิงซง แต่เป็นจางซาน จี้ซื่อ หวังอู่ ไม่แน่เสี่ยวหลินอาจจะทุ่มเทเพื่อความบริสุทธิ์ผุดผ่องของเพื่อนโดยไม่เกรงกลัวอำนาจ ทว่าเวลานี้เธอเองก็เป็นพระโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ* อยู่เหมือนกัน
“งั้นคุณจะส่งฉันกลับไปที่ไหนล่ะ” เสี่ยวหลินอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เมื่อครู่นี้เป็นชั้นล่างของอาคารบ้านเธอแท้ๆ
เวลานี้คำถามที่เรียบง่ายกลับเหนี่ยวรั้งจี้อิงซงเอาไว้ได้ เขาหยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “ไปที่บ้านผมก่อนก็แล้วกัน”
เสี่ยวหลินรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลว ดังนั้นทั้งสองคนจึงพากันเดินออกไปนอกบริเวณที่พักอาศัยแล้วเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง