Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1
(4)
วันหนึ่ง อู๋เหว่ยหมิงกับเสิ่นเสี่ยอี้พูดคุยกัน
“เสี่ยอี้ เธอทายซิว่าก่อนหน้านี้เป้าหมายของฉันคืออะไร”
“คนรักสวยเช้ง ลูกพันแข้งขา”
อู๋เหว่ยหมิงกระแอมออกมา “นี่ก็ถือเป็นเป้าหมายหนึ่ง แต่ยังมีที่ยาวไกลกว่านั้นอีก”
“ถ้ามองการณ์ไกลล่ะก็ หรือจะกลายเป็นเศรษฐีรวยระดับล้านล้าน”
“เสี่ยอี้ ในสายตาเธอฉันจะสูงส่งกว่านี้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือไง”
“ถ้าจะให้สูงส่งกว่านี้ล่ะก็ คงต้องขอให้โลกเกิดสันติสุข?” ครั้นเห็นอู๋เหว่ยหมิงกลอกตาใส่เธออย่างสุดกำลัง เสิ่นเสี่ยอี้ก็รีบร้อนเปลี่ยนคำพูด “หรือว่านายยังอยากปลดปล่อยมวลมนุษยชาติด้วย”
อู๋เหว่ยหมิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวด้วยความจนใจ “เสี่ยอี้ ฉันพบว่าเธอดีกับเพศเดียวกันมากๆ แต่กลับใจดำกับเพศชายสุดๆ ไปเลย”
เสิ่นเสี่ยอี้เบะปาก “เหล่าอู๋ เดิมทีนายหารือเรื่องเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของชีวิตในสถานที่แบบนี้ก็น่าแปลกอยู่แล้ว”
เวลานี้ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันอยู่ที่โถงใหญ่ของร้านคาราโอเกะ โดยเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ จากสำนักงานทนายความถังเฉียวกำลังร้องเพลงเสียงดังสนั่นกันอยู่ด้านใน
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น หญิงสาวคนหนึ่งก็ออกมาจากห้องรวมทางซ้ายมือ ในมือถือโทรศัพท์ ท่าทางโซซัดโซเซ เห็นได้ชัดว่าเมาอยู่บ้าง
“ไม่! คุณอย่าทำแบบนี้สิ!” หญิงสาวอาศัยความมึนเมาตะโกนใส่โทรศัพท์
“คุณจะทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ อิงซง…” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ร่างกายค่อยๆ ครูดไปกับผนัง สุดท้ายเธอก็ย่อตัวลงกับพื้น
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าเสียงนี้ช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน เธอจึงพิจารณาเงาด้านข้างของหญิงสาวคนนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น เป็นเธอนี่เอง!
เสิ่นเสี่ยอี้ลุกพรวดขึ้นยืน
“เธอรู้จักด้วยเหรอ” อู๋เหว่ยหมิงเอ่ยถาม
“เธอเป็นเลขาฯ ของลี่เจ๋อเหลียงน่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ประคองเสี่ยวหลินให้ลุกขึ้น “เสี่ยวหลิน นี่ฉันเอง เสิ่นเสี่ยอี้”
เสี่ยวหลินเงยหน้าขึ้น น้ำตานองหน้า เครื่องสำอางที่ประณีตงดงามเลือนหายไปแล้ว เธอพยักหน้าให้ แสดงให้เห็นว่าตัวเองยังคงมีสติดีอยู่
อู๋เหว่ยหมิงเตรียมจะผลักประตูเข้าไปแจ้งกับเพื่อนคนอื่นๆ ของเสี่ยวหลินในห้องรวม
“ไม่เอา” เสี่ยวหลินห้ามเขาไว้ “ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นฉันในสภาพนี้”
เมื่ออู๋เหว่ยหมิงเห็นสัญญาณจากเสิ่นเสี่ยอี้เขาก็จากไปเงียบๆ กลับเข้าห้องรวมที่เหล่าเพื่อนร่วมงานอยู่กันก่อนหน้านี้
เสิ่นเสี่ยอี้ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนเสี่ยวหลินเพื่อให้เธอล้างหน้า จากนั้นจึงกลับมายังโซฟาของโถงใหญ่ ทั้งก่อนหน้านี้และในเวลาต่อมาเสี่ยวหลินล้วนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเช็ดคราบเครื่องสำอางบนใบหน้าออก เมื่อเข้าคู่กับดวงตาที่ชื้นแดง เสี่ยวหลินก็ดูขาดความคล่องแคล่วปราดเปรียวเฉกเช่นในเวลาปกติไปฉับพลัน
ผ่านไปเนิ่นนานอารมณ์ของเสี่ยวหลินก็ค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา เธอเอ่ยปากว่า “ฉันเป็นผู้หญิงที่ล้มเหลว ทั้งๆ ที่เขาไม่รักฉัน แต่ฉันก็เอาแต่ดึงดัน”
ในลี่ซื่อกรุ๊ปเธอทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด เพียงครู่เดียวก็อธิบายความรักที่ไม่เป็นไปดังหวังของตัวเองได้อย่างสั้นกระชับ บรรยายเรื่องที่จี้ใจดำออกมา ทว่ากลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกว่าทั้งน่าโมโหและน่าขบขันในคราวเดียวกัน
“เขามีเจ้าของแล้วเหรอ”
เสี่ยวหลินส่ายหน้า
“อายุห่างกันมาก?”
เสี่ยวหลินส่ายหน้าต่อไป
“รสนิยมทางเพศมีปัญหา?”
“…”
“ถ้างั้นเขามีปัญหาอะไรล่ะ”
คราวนี้เสี่ยวหลินไม่ได้ตอบในทันที
เสิ่นเสี่ยอี้เข้าใจขึ้นมาทันที ระหว่างพวกเธอไม่ถือว่าสนิทสนมกัน เป็นเธอเองที่ถามมากเกินไป
“ฉันอยากกลับบ้าน” เสี่ยวหลินคลึงหน้าผากพลางเอ่ย
“เธอดื่มเหล้ามา ขับรถไม่ได้ ฉันจะไปส่งเอง” ได้ยินคำเตือนสติของเสิ่นเสี่ยอี้ เสี่ยวหลินก็ล้วงกุญแจรถในกระเป๋าถือส่งให้เธอ
“ฉัน…” เสิ่นเสี่ยอี้โบกมือในทันที “ฉันไม่ขับรถแล้ว พวกเราเรียกแท็กซี่ก็แล้วกันนะ”
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงนั่งแท็กซี่ไปยังที่พักของเสี่ยวหลิน
“เจ็บคอหรือเปล่า”
“ไม่เท่าไหร่ แค่ปวดหัวน่ะ ค่อนข้างเวียนหัวด้วย” เสี่ยวหลินกล่าว
“ดูเหมือนจะเป็นไข้นิดหน่อยนะ” เสิ่นเสี่ยอี้ทาบอุณหภูมิที่หน้าผากของเธอ
“ในลิ้นชักมียาแก้หวัดอยู่”
“ไม่ต้องหรอก ฉันมีเคล็ดลับส่วนตัว รับประกันว่าได้ยาปุ๊บหายปั๊บ” พูดพลางเสิ่นเสี่ยอี้ก็ไปหาไข่กับเหล้าขาวในห้องครัว สักครู่ก็ได้ยินเสียงน้ำในหม้อเดือดปุดๆ
และแล้วเสิ่นเสี่ยอี้ก็ยื่นหน้าออกมาถาม “เสี่ยวหลิน เธอชอบน้ำผึ้งหรือว่าน้ำตาลทรายแดง”
“น้ำผึ้ง”
หลายนาทีผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ยกเหล้าไข่ไก่ที่ใช้รักษาหวัดโดยเฉพาะออกมา จากนั้นก็ยิ้มกริ่มพร้อมมองเสี่ยวหลินดื่มมันลงไป ต่อด้วยทิ้งช่องทางติดต่อของตัวเองเอาไว้ เธอถึงได้จากไปอย่างวางใจ
เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะออกมาจากอาคารก็ได้รับสายจากอู๋เหว่ยหมิง เธอเพิ่งคิดได้ว่าตอนที่จากมาลืมบอกกล่าวกับพวกเขา
อู๋เหว่ยหมิงกล่าวอย่างอารมณ์เสีย “เสี่ยอี้ เธอนี่มันชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องเหมือนมนุษย์ป้าคณะกรรมการหมู่บ้านไม่มีผิด!”
เสิ่นเสี่ยอี้กำลังจะโต้ตอบเขา ทว่าสายตาพลันเห็นชายคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ไกลๆ ชายคนนั้นแลดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่ชั่วขณะนั้นเธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหน เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องเขม็งไปยังบริเวณใดบริเวณหนึ่งบนอาคาร เสิ่นเสี่ยอี้มองตามสายตาของเขาไป มันเป็นทิศทางที่เสี่ยวหลินอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นใบหน้าคุ้นตา ทว่าจู่ๆ เธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน
เช้าวันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้ไปสูดอากาศบนดาดฟ้า เธอเห็นเสี่ยวหลินกับชายคนหนึ่งโต้เถียงกันในบริเวณที่เงียบสงบ เมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวหลินก็รู้ว่าอีกฝ่ายคืออิงซงที่เคยกล่าวถึง เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกประดักประเดิดที่จะอยู่ตรงนั้นต่อ ขณะหันหลังจากไปเธอก็เหลือบตามองชายคนนั้น เป็นคนเดียวกับที่เห็นตรงชั้นล่างอาคารที่พักของเสี่ยวหลินเมื่อคราวก่อนนี่เอง จู่ๆ เสิ่นเสี่ยอี้ก็นึกถึงชายคนนี้ขึ้นมาได้ เขาคือคนที่ขับรถให้ลี่เจ๋อเหลียงอยู่ทุกวันนั่นเอง เมื่อคืนวานเขายืนอยู่ที่ชั้นล่างอย่างนั้น แสดงว่าก็คงเป็นห่วงเสี่ยวหลินอยู่
วันต่อมา เสิ่นเสี่ยอี้พบกับคนขับรถคนนั้นที่โรงอาหารอย่างไม่ทันตั้งตัว
เขาเดินอยู่ด้านหน้าพร้อมกับคนข้างๆ ที่มาด้วยกัน สองเท้าก้าวด้วยความรีบร้อน กระทั่งการ์ดตกลงบนพื้นแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว เสิ่นเสี่ยอี้หยิบการ์ดขึ้นมา พอเงยหน้าก็เห็นเขาค่อยๆ เดินห่างออกไป เธออยากเรียกเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเรียกอย่างไรดี ระหว่างที่ร้อนรนเธอก็ตะโกนออกไปว่า “คุณคนขับรถคะ!”
โรงอาหารของบริษัทค่อนข้างโล่งกว้าง ดังนั้นเสียงเรียกของเธอจึงฟังดูค่อนข้างดังกังวาน
คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา มองเสิ่นเสี่ยอี้ด้วยความสงสัย
“คุณเสิ่น มีเรื่องอะไรเหรอครับ” เป็นธรรมดาที่เขาจะจำเสิ่นเสี่ยอี้ได้
“คุณคนขับรถคะ ของของคุณตกน่ะค่ะ”
ตอนนั้นเองชายเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ เขาก็เอ่ยอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา “คุณครับ นี่คือจี้อิงซงจากฝ่ายบุคคล ผู้จัดการจี้ไม่ใช่ ‘คุณคนขับรถ’ ครับ”
“…”
ใครบอกว่า ‘ขับรถ’ แล้วจะต้องเป็น ‘คนขับรถ’ กันล่ะ…
เสิ่นเสี่ยอี้ขายหน้าในที่สาธารณะอีกครั้งแล้ว