Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1
(5)
คืนวันศุกร์ประจวบเหมาะเป็นงานฉลองสำนักงานทนายความถังเฉียวครบรอบห้าปี ซึ่งจะจัดงานเลี้ยงค็อกเทลกันที่โรงแรม เสิ่นเสี่ยอี้เองก็ต้องไปด้วย
“คุณเสิ่น” คนที่เรียกเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้ก็คือคุณหนูใหญ่ของธนาคารเจิ้งหยวน หวงเจียฮุ่ย ก่อนหน้านี้ไม่นานแม้เธอเพิ่งตบเสิ่นเสี่ยอี้ไปฉาดหนึ่ง ทว่าตัวเธอก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจแต่อย่างใด พบหน้ากันก็เอ่ยทักทายได้ทันที
“คุณหวง”
หวงเจียฮุ่ยถือว่าเป็นสาวสวยที่มีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจในเมือง A ครอบครัวของเธอเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทที่เสิ่นเสี่ยอี้ทำงานอยู่ เป็นธรรมดาที่ไม่อาจขาดเธอในโอกาสแบบนี้
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ ได้ยินว่าคุณเปลี่ยนงานแล้วเหรอ”
“ฉันแค่ถูกส่งไปลี่ซื่อกรุ๊ประยะหนึ่งเท่านั้นค่ะ”
“อ๋อ ฉันพอมีพวกผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงๆ ที่สนิทสนมกันอยู่ ใช้โอกาสนี้ขอให้ดูแลเธอได้นะ” เวลานี้สีหน้าเย่อหยิ่งของหวงเจียฮุ่ยฉายให้เห็นอย่างแจ่มชัดอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าให้ต้องลำบากคุณหวงเลยค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้แม้ปากกล่าวขอบคุณแต่สีหน้าเรียบเฉย
หวงเจียฮุ่ยพูดกับเสิ่นเสี่ยอี้อย่างซังกะตายอีกครั้งหนึ่งก็รับค็อกเทลมาจากพนักงานเสิร์ฟ ก่อนเดินมุ่งตรงไปหาลี่เจ๋อเหลียง
เดิมทีเท้าและขาของลี่เจ๋อเหลียงเดินไม่ค่อยสะดวก ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้ชื่นชอบการเดินเหินเท่าไรนัก ภายในงานเลี้ยงยามนี้ลี่เจ๋อเหลียงจึงยืนอยู่กับที่และพูดคุยสัพเพเหระกับนักธุรกิจสองสามคน โดยที่สายตาของจี้อิงซง ‘คนขับรถ’ ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปไม่ได้ละไปจากเขาเลย ในตอนนี้จึงดูเหมือนว่า ‘ผู้จัดการจี้’ ได้เปลี่ยนจาก ‘คนขับรถ’ ไปเป็น ‘บอดี้การ์ด’ เสียแล้ว
“สุภาพบุรุษรูปงามทุกท่านคะ ให้ฉันร่วมวงสนทนาด้วยจะได้หรือเปล่า” หวงเจียฮุ่ยกล่าวตัดบท
หวงเจียฮุ่ยเข้าร่วมการสนทนาระหว่างชายสองสามคนได้อย่างรวดเร็ว ชุดกระโปรงยาวเข้ารูปสีเงินของเธอเป็นประกายดึงดูดสายตาบรรดาชายหนุ่มในกลุ่มชุดสูท เธอเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมแบบนี้ตั้งแต่เล็ก เป็นธรรมดาที่เธอจะแสดงความสามารถของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ นอกจากลี่เจ๋อเหลียงแล้ว ชายหนุ่มคนอื่นๆ ต่างเริ่มย้ายหัวข้อสนทนาไปที่หวงเจียฮุ่ย ทั้งยังสนใจมากเสียด้วย
เป็นธรรมดาที่ในงานเลี้ยงเช่นนี้จะมีคนอยากคว้าโอกาสจากลี่เจ๋อเหลียงเพื่อคบหาคนที่มีฐานะสูงกว่า ดังนั้นผู้คนมากมายจึงเข้ามาชนแก้วดื่มเหล้ากับเขาไม่หยุดหย่อน โดยปกติแล้วลี่เจ๋อเหลียงจะไม่บ่ายเบี่ยง ระหว่างที่ต้อนรับขับสู้ก็แลดูมีความสุขยิ่งกว่าใครๆ ทั้งดูเหมือนเขาจะรักการดื่มเป็นอย่างมาก ซึ่งความจริงแล้วเขาเพียงทำตัวกลมกลืนเข้ากับสังคมเท่านั้น อย่างไรเสียนิสัยใจคอของเขาในสายตาผู้อื่นก็ยากจะหยั่งถึง คนที่เคยไปมาหาสู่กับเขาต่างก็รู้สึกว่าลี่เจ๋อเหลียงโหดเหี้ยมยากคาดเดา ทั้งเขายังมีรอยยิ้มบางอย่างที่สามารถกันผู้คนให้อยู่ห่างออกไปได้
เสิ่นเสี่ยอี้อยู่ในงานสักครู่หนึ่งก็รู้สึกตาล้าจากแสงไฟคริสตัลในโถงใหญ่และเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาดตาของสาวงามเหล่านั้น เธอรู้สึกอึดอัดมาก จึงเดินไปยังทางเดินด้านนอกเพื่อสูดอากาศ ทว่ากลับพบกับลี่เจ๋อเหลียงที่กำลังสูบบุหรี่อยู่
ลี่เจ๋อเหลียงในตอนนั้นเก็บรอยยิ้มที่เห็นได้เป็นปกติเอาไว้ เขาขมวดคิ้ว พิงตัวกับผนังอยู่เงียบๆ ทว่าสีหน้าแบบนั้นกลับทำให้เสิ่นเสี่ยอี้รู้สึกไม่คุ้นชินนัก บางครั้งเขาก็จะยกมือขึ้นสูบบุหรี่ เพียงไม่นานควันจางๆ ก็ลอดออกทางจมูกอย่างเนิบช้า ประกายลูกไฟที่อยู่ระหว่างนิ้วมือสะท้อนให้ดวงตาของเขากึ่งสว่างกึ่งมืดมน
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่อยากรบกวนเขาจึงเตรียมหาสถานที่อื่นเพื่อเดินเล่น
“คุณ…เสิ่น” ลี่เจ๋อเหลียงพลันสังเกตเห็นและเรียกเธอไว้
“คะ?” เธอหมุนร่างพลางเบือนหน้าไปมองเขา
ลี่เจ๋อเหลียงยืดตัวตรงเผชิญหน้ากับเธอ มือทั้งสองลู่ลง ทว่าบุหรี่กลับยังไม่ดับ ควันบุหรี่บางๆ จึงวนเวียนอยู่ระหว่างนิ้วมือของเขาก่อนจะลอยหายไป
เขาจ้องมองเธอแน่นิ่ง สายตาลึกล้ำเป็นพิเศษ คล้ายอยากกล่าวอะไรสักอย่าง ขณะที่เตรียมเอ่ยปากช้าๆ ทันใดนั้นเองประตูโถงใหญ่ก็ถูกเปิดออกกะทันหัน พาให้เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจจากด้านในดังลอยออกมา ทางเดินเองก็พลันสว่างไสว แสงไฟสาดลงบนใบหน้าของลี่เจ๋อเหลียง เขาอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้
ใบหน้าของเขาไม่ได้แดงซ่านเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ กลับกันยิ่งดื่มเขากลับยิ่งดูขาวซีดเสียด้วยซ้ำ
“คุณลี่มีอะไรจะกำชับหรือเปล่าคะ” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยถาม
“อาการเคล็ดบนคอของคุณหายดีแล้วเหรอ” คำพูดของเขาคล้ายจะดูห่วงใย แต่เสิ่นเสี่ยอี้กลับรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันในทันที
“หายแล้วค่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้ทำทีเป็นไม่เข้าใจ “ฉันแข็งแรงก็เลยฟื้นฟูได้ไว ขอบคุณคุณลี่ที่เป็นห่วงค่ะ”
ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะ เขากลับเข้าไปหากลุ่มผู้คนในโถงใหญ่โดยไม่ได้กล่าวอะไร
เพียงคืนเดียวคนของสำนักงานทนายความถังเฉียวก็พบหน้าลูกค้าไปไม่น้อย ทุกคนต่างทักทายกันและกัน ขณะที่เสิ่นเสี่ยอี้กับอู๋เหว่ยหมิงกำลังพูดคุยเป็นเพื่อนลูกค้าก็ได้ยินคนลากเสียงเรียก
“ทะ…นาย…เสิ่น”
เธอได้ฟังก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นว่าคนที่มาคือจูอันไหวจากธนาคารฮุยฮู่นั่นเอง
ว่าแล้วเชียว ศัตรูพบกันบนทางแคบ*
อู๋เหว่ยหมิงขมวดคิ้วพลางกระซิบกระซาบ “ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้”
“ใครให้เขาเป็นลูกชายเถ้าแก่ฮุยฮู่ล่ะ”
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน จูอันไหวก็คว้าเหล้ามาแก้วหนึ่งก่อนก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“ทนายเสิ่น ดื่มเป็นเกียรติหน่อยไหมล่ะ”
“ขอบคุณสำหรับความหวังดีของคุณจูนะคะ แต่ฉันไม่ดื่มเหล้าค่ะ”
“งั้นเหรอ นี่เป็นวิธีรับแขกของพวกคุณถังเฉียวงั้นสิ?”
“ในเมื่อเสี่ยอี้ไม่ดื่มเหล้า เดี๋ยวผมชนแก้วกับคุณจูแทนเธอเองครับ” อู๋เหว่ยหมิงขวางอยู่ข้างหน้า คิดจะชนแก้วกับจูอันไหว แต่กลับถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยง
“ผู้ชายคนนี้เรียกชื่อทนายเสิ่นของพวกเราอย่างสนิทสนมถึงขนาดนี้เชียว? ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ไม่ทราบว่าถือเป็นการล่วงละเมิดทางเพศหรือเปล่า” ก่อนหน้านี้จูอันไหวได้รับโทษอยู่หลายเดือนเพราะเสิ่นเสี่ยอี้ แน่นอนว่าเขายังผูกใจเจ็บกับเรื่องนี้อยู่
คำพูดของจูอันไหวดึงดูดความสนใจจากบางคนที่อยู่รอบๆ ในขณะนี้ ลี่เจ๋อเหลียงเองก็กำลังยืนรินเหล้าอยู่ข้างโต๊ะอาหารพอดี ส่วนเสี่ยวหลินยืนอยู่ข้างๆ คอยตามเขาอยู่ ตำแหน่งของเขาอยู่ถัดออกไปทางด้านหลังของเสิ่นเสี่ยอี้ราวสามคน ไม่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้เขาจะได้ยินหรือเปล่า
“อ๊ะ ประธานลี่!” จูอันไหวเห็นเขาเข้าจนได้
ลี่เจ๋อเหลียงหันมา ยกแก้วขึ้นเป็นการตอบรับ เสี่ยวหลินคิดว่าเขาจะแก้สถานการณ์ให้เสิ่นเสี่ยอี้เสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าลี่เจ๋อเหลียงจะไม่กล่าวอะไรออกมาสักคำ
“เกียรติแค่นี้ยังให้กันไม่ได้ ถ้างั้นจะเชิญพวกเราฮุยฮู่มาทำไมล่ะ” จูอันไหวเซ้าซี้ก่อกวนต่อไป
เสี่ยวหลินถูกการกระทำของเจ้านายขัดขวางเอาไว้ เธออยู่ข้างๆ นี้เอง แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรมาก