Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 3
บทที่ 3 ข้อสัญญาพิเศษ
คุณก็แค่อาศัยที่ผมปฏิบัติกับคุณไม่เหมือนคนอื่นไปคิดเอาเองว่าผมลี่เจ๋อเหลียงชอบคุณ
(1)
เสิ่นเสี่ยอี้จะกลัวหนาวในฤดูหนาว และฤดูร้อนก็มักจะเป็นเวลาที่คนรอบข้างกลัวร้อนเป็นที่สุด เมื่อถึงต้นฤดูร้อนเธอจะมัดผมเป็นหางม้า ถ้าหากอยู่บ้านคนเดียวหรือไปเดินเที่ยวซื้อของกับเพื่อนก็จะเกล้าผมมวยให้รู้แล้วรู้รอดไป น่าเสียดายที่เธอมาเป็นทนาย ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในห้องทำงานอ่านเอกสารหรือพบเจอกับลูกความก็จำเป็นต้องจัดเสื้อผ้าและนั่งให้เรียบร้อย จะต้องหวีผมให้เรียบแปล้ เมื่อก่อนอยู่ที่สำนักงานทนายความถังเฉียวก็ยังดี เฉียวหมิ่นหานไม่ได้เข้มงวดกับเงื่อนไขนี้มากนัก ขอเพียงเวลาออกไปพบลูกค้าวางตัวให้ดีก็เพียงพอ น่าเสียดายที่เธออยู่ที่ลี่ซื่อกรุ๊ป แม้แต่ผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงๆ ต่างก็ใส่เต็มยศกันทั้งกลางวันกลางคืน พนักงานทั้งตำแหน่งสูงต่ำในบริษัทก็ยิ่งไม่กล้าข้ามเส้น พนักงานหญิงไม่กล้าแม้แต่ให้นิ้วเท้าโผล่ออกมา เธอจึงใคร่ครวญอยู่เสมอว่าลี่เจ๋อเหลียงคนนี้เป็นอะไรกลับชาติมาเกิด หรือว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกร้อนบ้างเลย
วันเสาร์นี้เสิ่นเสี่ยอี้ขี้เกียจทำกับข้าวที่บ้านจึงนัดโจวผิงซินไปกินข้าวข้างนอก แล้วก็ถือโอกาสกลับบริษัทไปเอาของนิดหน่อย
ถึงอย่างไรก็เป็นวันพักผ่อน เธอคีบรองเท้าแตะหูหนีบ สวมชุดสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงผ้าฝ้ายตัวหลวมเดินเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย ซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้ากับโจวผิงซินในศูนย์การค้าราวกับกำลังเดินเล่น
ทั้งสองคนลองกันไปลองกันมา ลองจนทั้งที่พวกเธออยู่ใต้แอร์ยังมีเหงื่อไหลโชก
“คุณเสิ่นคะ”
เมื่อเธอและโจวผิงซินออกมาจากศูนย์การค้าเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนเรียก เธอจึงถอดแว่นกันแดดและหันกลับไปกวาดตามองรอบหนึ่ง ทว่าก็ไม่พบว่าเป็นใคร ครั้นเดินหน้าต่อไปคนคนนั้นก็เรียกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นถึงได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถที่อยู่ข้างทาง…เป็นเมิ่งหลีลี่
“คุณเมิ่ง” เสิ่นเสี่ยอี้หยุดฝีเท้า
“คุณเสิ่นกินข้าวหรือยังคะ ถ้ายังล่ะก็ ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะค่ะ” เมิ่งหลีลี่เชื้อเชิญด้วยความจริงใจ เมื่อเห็นโจวผิงซินก็กล่าวขึ้นว่า “คุณผู้หญิงคนนี้ก็ไปด้วยกันนะคะ”
เสิ่นเสี่ยอี้มองโจวผิงซินแวบหนึ่ง เธอรู้ว่าโจวผิงซินมีนิสัยเก็บตัว ไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้า อีกทั้งตัวเสิ่นเสี่ยอี้เองก็อยากมีความเป็นส่วนตัวในวันหยุด จึงบอกปัดไปว่า “ขอบคุณคุณเมิ่งค่ะ พวกเราเพิ่งกินข้าวกันเอง แล้วก็ยังมีธุระอีกหน่อยด้วย คราวหน้าถ้าคุณว่างให้ฉันเลี้ยงข้าวนะคะ”
ถึงอย่างไรเมิ่งหลีลี่ก็ตะเกียกตะกายอยู่ในวงสังคมมานาน ได้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายของเสิ่นเสี่ยอี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้การคบหาระหว่างเธอกับเสิ่นเสี่ยอี้มีปัญหาแทรกซ้อน จึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ถ้างั้นวันหลังฉันจะโทรไปนัดคุณเสิ่นล่วงหน้านะคะ ถึงเวลาต้องรับคำเชิญด้วยนะ”
“แน่นอนค่ะ แน่นอน” เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้าด้วยความเบิกบานใจ
หลังจากมองตามหลังเมิ่งหลีลี่ไป ทั้งสองก็พากันเดินไปยังร้านที่เรียงรายอยู่ข้างทางซึ่งพวกเธอเข้าไป
เยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ
“ปีกไก่น้ำแดง” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวกับพนักงานเสิร์ฟ จานนี้เป็นกับข้าวประจำของทุกๆ ครั้งที่มา จากนั้นค่อยเพิ่มเติมรายละเอียดอื่นๆ ไปอีกว่า “ผัดพริก ไม่ใส่ต้นหอม จำไว้ว่าอย่าใส่แตงกวาปนมาด้วย ไม่งั้นฉันจะขอเงินคืน”
“เนื้อวัวนั่นใส่ผักกาดเขียวกับจิ๊กโฉ่วเพิ่มเข้าไปด้วยนะ”
“ข้าวโพด…”
กับข้าวที่สั่งทุกอย่างต่างก็กำชับด้วยเงื่อนไขเพิ่มเติมเป็นกอง ทำเสียจนหนุ่มน้อยที่เสิร์ฟอาหารจดจำอยู่เป็นนานสองนาน
“ไม่เคยเห็นใครที่โตเท่านี้แล้วยังเลือกกินขนาดนี้เลย” โจวผิงซินหัวเราะ
“ฉันมีเงื่อนไขเกี่ยวกับอาหารค่อนข้างเยอะต่างหากล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้แก้ไข
อาหารหลายอย่างถูกยกมาวางที่โต๊ะ ที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายก็คือเบียร์สับปะรดแช่เย็นสองกระป๋อง เสิ่นเสี่ยอี้จิบอึกหนึ่งด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ร้องเสียงดังอย่างถึงอกถึงใจ เดิมทีเธอมีชื่อเสียงเรื่องสามแก้วฟุบแต่กลับมีภูมิคุ้มกันกับเบียร์เพียงอย่างเดียว อู๋เหว่ยหมิงเคยหัวเราะเยาะเธอ ‘เบียร์ที่เธอดื่มนั่นน่ะเหรอ เซเว่นอัพรสสับปะรดชัดๆ เลย’
“เมิ่งหลีลี่คนนั้นน่ะ ฉันเห็นเธอหลายครั้งจากที่ไกลๆ ทุกที ไม่คิดว่าดูใกล้ๆ จะยังสาวเชียว” โจวผิงซิน
กล่าว
“ใช่ ก็เธออายุมากกว่าฉันแค่สองปีนี่นา”
“อายุยังน้อยสามีก็ตายจาก ได้มรดกในมือแล้วก็ยังตามหาชีวิตใหม่ได้อีก อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
โจวผิงซินทอดถอนใจ
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินเข้าก็มองไปยังที่ห่างไกลเงียบๆ พร้อมกล่าวว่า “กลัวว่าจะไม่สามารถทำทุกอย่างที่คิดได้น่ะสิ อยากได้ของอะไรสักอย่างก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สอดคล้องกัน บ้านหวงไม่ใช่นักธุรกิจที่สร้างตัวด้วยมือเปล่าธรรมดาๆ หน้าตาของทั้งตระกูลใหญ่ก็มักจะต้องปิดบังไว้สักหน่อย แม้ว่าเขาจะให้เธอได้มรดกไป แต่เกรงว่าจะไม่อนุญาตให้เธอฝันกลางวันแบบนั้นหรอก”
“จริงสิ เธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาฉันก็พานนึกถึงเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินว่าเมิ่งหลีลี่เข้าไปทำงานที่ธนาคารเจิ้งหยวนแล้วนะ” ธนาคารเจิ้งหยวนที่โจวผิงซินกล่าวถึงก็คือกิจการที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลหวงนั่นเอง
เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้า เอ่ยถามไปตามประสา “งั้นเหรอ” ทว่าเธอไม่ได้ดูตื่นตะลึงเท่าที่ควร เธอรู้สึกมาตลอดว่าเมิ่งหลีลี่ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็สามารถหยิบฉวยโอกาสไว้ได้อย่างเหมาะสมดังใจต้องการ ไม่มีทางเป็นหญิงสาวอ่อนแอร้องไห้กระซิกๆ อย่างแน่นอน
จู่ๆ เธอก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดบอบบางเช่นน้ำ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดแรงแข็งแรงพอจะเอาชนะน้ำได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง’
ในเมื่อเอาชนะตระกูลนั้นได้ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่ประเดี๋ยวเดียวเธอก็ได้รับความรักใคร่จากนายใหญ่หวงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หญิงสาวผู้นี้แม้จะบอบบาง ทว่าจะดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด
“ความจริงแล้วพวกเรายังดีเสียกว่า เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ แค่ปีกไก่ชิ้นเดียวก็มีความสุขได้เป็นครึ่งค่อนวัน” จากนั้นโจวผิงซินก็เริ่มจัดการปีกไก่บนจานทันที
“ก็ต้องความรักเรียบๆ ง่ายๆ แบบของเธอสินะ เรียบง่ายเสียจนผีสางเทวดายังซาบซึ้งใจจนต้องหลั่งน้ำตา”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มพลางยื่นตะเกียบออกไปคีบอาหาร แล้วจู่ๆ ก็พบต้นหอมเขียวอี๋อยู่ในจาน เธออดไม่ได้ที่จะคลุ้มคลั่ง “ฉันบอกไปชัดเจนแล้วนะว่าไม่ใส่ต้นหอม”
หลังมื้ออาหาร สามีของโจวผิงซินอดรนทนไม่ไหวที่จะรับภรรยากลับบ้าน เสิ่นเสี่ยอี้จึงทำได้เพียงกลับไปเอาของที่บริษัทคนเดียว เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูตึกระฟ้าลี่ซื่อกรุ๊ปเธอก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังออกมาจากด้านใน
แน่นอนว่าลำดับแรกเป็นลี่เจ๋อเหลียง ทว่าลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้เป็นจุดโฟกัสเดียวท่ามกลางกลุ่มคน เพราะข้างกายเขายังมีชายหนุ่มปากแดงฟันขาวอยู่คนหนึ่ง หากพิจารณาเพียงหน้าตาของคนคนนั้นก็สู้ความหล่อเหลาดุดันของลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อวางทุกอย่างรวมกันบนใบหน้าของเขากลับมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
ลี่เจ๋อเหลียงเห็นเสิ่นเสี่ยอี้ก่อน เขาจ้องมองเธอเรียบๆ แวบหนึ่งแล้วจึงเบนสายตาออกไป เสิ่นเสี่ยอี้เบ้ปาก เธอเห็นท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกลับไปกลับมาอย่างนี้ของเขาเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่สวมใส่ชุดทางการ เธอก้มมองการแต่งตัวที่ไม่อาจสู้หน้าได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าของตัวเองก่อนเตรียมที่จะหลีกเลี่ยงจากทุกคน เธอหันหลังขวับอย่างเร็วแล้วขยับตัวไปด้านข้าง น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว
“เสี่ยอี้!” ชายหนุ่มปากแดงฟันขาวคนนั้นเรียกเธอจากที่ไกลๆ ด้วยความตื่นตะลึง
เสิ่นเสี่ยอี้ยืนหันหลังให้พวกเขา หน้าตายับยู่เข้าด้วยกัน ปากด่าทอได้ระลอกหนึ่งก็เปลี่ยนสีหน้าในฉับพลัน จากนั้นจึงหันกลับไปด้วยความจนใจ ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณจัน สวัสดีค่ะ”