ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง

ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่ 3 ข้อสัญญาพิเศษ

คุณก็แค่อาศัยที่ผมปฏิบัติกับคุณไม่เหมือนคนอื่นไปคิดเอาเองว่าผมลี่เจ๋อเหลียงชอบคุณ

 

(1)

เสิ่นเสี่ยอี้จะกลัวหนาวในฤดูหนาว และฤดูร้อนก็มักจะเป็นเวลาที่คนรอบข้างกลัวร้อนเป็นที่สุด เมื่อถึงต้นฤดูร้อนเธอจะมัดผมเป็นหางม้า ถ้าหากอยู่บ้านคนเดียวหรือไปเดินเที่ยวซื้อของกับเพื่อนก็จะเกล้าผมมวยให้รู้แล้วรู้รอดไป น่าเสียดายที่เธอมาเป็นทนาย ไม่ว่าจะนั่งอยู่ในห้องทำงานอ่านเอกสารหรือพบเจอกับลูกความก็จำเป็นต้องจัดเสื้อผ้าและนั่งให้เรียบร้อย จะต้องหวีผมให้เรียบแปล้ เมื่อก่อนอยู่ที่สำนักงานทนายความถังเฉียวก็ยังดี เฉียวหมิ่นหานไม่ได้เข้มงวดกับเงื่อนไขนี้มากนัก ขอเพียงเวลาออกไปพบลูกค้าวางตัวให้ดีก็เพียงพอ น่าเสียดายที่เธออยู่ที่ลี่ซื่อกรุ๊ป แม้แต่ผู้ใหญ่ตำแหน่งสูงๆ ต่างก็ใส่เต็มยศกันทั้งกลางวันกลางคืน พนักงานทั้งตำแหน่งสูงต่ำในบริษัทก็ยิ่งไม่กล้าข้ามเส้น พนักงานหญิงไม่กล้าแม้แต่ให้นิ้วเท้าโผล่ออกมา เธอจึงใคร่ครวญอยู่เสมอว่าลี่เจ๋อเหลียงคนนี้เป็นอะไรกลับชาติมาเกิด หรือว่าเขาจะไม่เคยรู้สึกร้อนบ้างเลย

วันเสาร์นี้เสิ่นเสี่ยอี้ขี้เกียจทำกับข้าวที่บ้านจึงนัดโจวผิงซินไปกินข้าวข้างนอก แล้วก็ถือโอกาสกลับบริษัทไปเอาของนิดหน่อย

ถึงอย่างไรก็เป็นวันพักผ่อน เธอคีบรองเท้าแตะหูหนีบ สวมชุดสายเดี่ยวตัวเล็กกับกางเกงผ้าฝ้ายตัวหลวมเดินเที่ยวไปเรื่อยเปื่อย ซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้ากับโจวผิงซินในศูนย์การค้าราวกับกำลังเดินเล่น

ทั้งสองคนลองกันไปลองกันมา ลองจนทั้งที่พวกเธออยู่ใต้แอร์ยังมีเหงื่อไหลโชก

“คุณเสิ่นคะ”

เมื่อเธอและโจวผิงซินออกมาจากศูนย์การค้าเพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนเรียก เธอจึงถอดแว่นกันแดดและหันกลับไปกวาดตามองรอบหนึ่ง ทว่าก็ไม่พบว่าเป็นใคร ครั้นเดินหน้าต่อไปคนคนนั้นก็เรียกขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นถึงได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินลงมาจากรถที่อยู่ข้างทาง…เป็นเมิ่งหลีลี่

“คุณเมิ่ง” เสิ่นเสี่ยอี้หยุดฝีเท้า

“คุณเสิ่นกินข้าวหรือยังคะ ถ้ายังล่ะก็ ไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะค่ะ” เมิ่งหลีลี่เชื้อเชิญด้วยความจริงใจ เมื่อเห็นโจวผิงซินก็กล่าวขึ้นว่า “คุณผู้หญิงคนนี้ก็ไปด้วยกันนะคะ”

เสิ่นเสี่ยอี้มองโจวผิงซินแวบหนึ่ง เธอรู้ว่าโจวผิงซินมีนิสัยเก็บตัว ไม่ค่อยชอบคบค้าสมาคมกับคนแปลกหน้า อีกทั้งตัวเสิ่นเสี่ยอี้เองก็อยากมีความเป็นส่วนตัวในวันหยุด จึงบอกปัดไปว่า “ขอบคุณคุณเมิ่งค่ะ พวกเราเพิ่งกินข้าวกันเอง แล้วก็ยังมีธุระอีกหน่อยด้วย คราวหน้าถ้าคุณว่างให้ฉันเลี้ยงข้าวนะคะ”

ถึงอย่างไรเมิ่งหลีลี่ก็ตะเกียกตะกายอยู่ในวงสังคมมานาน ได้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายของเสิ่นเสี่ยอี้ เป็นธรรมดาที่จะไม่อยากให้การคบหาระหว่างเธอกับเสิ่นเสี่ยอี้มีปัญหาแทรกซ้อน จึงยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ถ้างั้นวันหลังฉันจะโทรไปนัดคุณเสิ่นล่วงหน้านะคะ ถึงเวลาต้องรับคำเชิญด้วยนะ”

“แน่นอนค่ะ แน่นอน” เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้าด้วยความเบิกบานใจ

หลังจากมองตามหลังเมิ่งหลีลี่ไป ทั้งสองก็พากันเดินไปยังร้านที่เรียงรายอยู่ข้างทางซึ่งพวกเธอเข้าไป
เยี่ยมเยียนกันบ่อยๆ

“ปีกไก่น้ำแดง” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวกับพนักงานเสิร์ฟ จานนี้เป็นกับข้าวประจำของทุกๆ ครั้งที่มา จากนั้นค่อยเพิ่มเติมรายละเอียดอื่นๆ ไปอีกว่า “ผัดพริก ไม่ใส่ต้นหอม จำไว้ว่าอย่าใส่แตงกวาปนมาด้วย ไม่งั้นฉันจะขอเงินคืน”

“เนื้อวัวนั่นใส่ผักกาดเขียวกับจิ๊กโฉ่วเพิ่มเข้าไปด้วยนะ”

“ข้าวโพด…”

กับข้าวที่สั่งทุกอย่างต่างก็กำชับด้วยเงื่อนไขเพิ่มเติมเป็นกอง ทำเสียจนหนุ่มน้อยที่เสิร์ฟอาหารจดจำอยู่เป็นนานสองนาน

“ไม่เคยเห็นใครที่โตเท่านี้แล้วยังเลือกกินขนาดนี้เลย” โจวผิงซินหัวเราะ

“ฉันมีเงื่อนไขเกี่ยวกับอาหารค่อนข้างเยอะต่างหากล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้แก้ไข

อาหารหลายอย่างถูกยกมาวางที่โต๊ะ ที่ถูกส่งมาเป็นอย่างสุดท้ายก็คือเบียร์สับปะรดแช่เย็นสองกระป๋อง เสิ่นเสี่ยอี้จิบอึกหนึ่งด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็ร้องเสียงดังอย่างถึงอกถึงใจ เดิมทีเธอมีชื่อเสียงเรื่องสามแก้วฟุบแต่กลับมีภูมิคุ้มกันกับเบียร์เพียงอย่างเดียว อู๋เหว่ยหมิงเคยหัวเราะเยาะเธอ ‘เบียร์ที่เธอดื่มนั่นน่ะเหรอ เซเว่นอัพรสสับปะรดชัดๆ เลย’

“เมิ่งหลีลี่คนนั้นน่ะ ฉันเห็นเธอหลายครั้งจากที่ไกลๆ ทุกที ไม่คิดว่าดูใกล้ๆ จะยังสาวเชียว” โจวผิงซิน
กล่าว

“ใช่ ก็เธออายุมากกว่าฉันแค่สองปีนี่นา”

“อายุยังน้อยสามีก็ตายจาก ได้มรดกในมือแล้วก็ยังตามหาชีวิตใหม่ได้อีก อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
โจวผิงซินทอดถอนใจ

เสิ่นเสี่ยอี้ได้ยินเข้าก็มองไปยังที่ห่างไกลเงียบๆ พร้อมกล่าวว่า “กลัวว่าจะไม่สามารถทำทุกอย่างที่คิดได้น่ะสิ อยากได้ของอะไรสักอย่างก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สอดคล้องกัน บ้านหวงไม่ใช่นักธุรกิจที่สร้างตัวด้วยมือเปล่าธรรมดาๆ หน้าตาของทั้งตระกูลใหญ่ก็มักจะต้องปิดบังไว้สักหน่อย แม้ว่าเขาจะให้เธอได้มรดกไป แต่เกรงว่าจะไม่อนุญาตให้เธอฝันกลางวันแบบนั้นหรอก”

“จริงสิ เธอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาฉันก็พานนึกถึงเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินว่าเมิ่งหลีลี่เข้าไปทำงานที่ธนาคารเจิ้งหยวนแล้วนะ” ธนาคารเจิ้งหยวนที่โจวผิงซินกล่าวถึงก็คือกิจการที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลหวงนั่นเอง

เสิ่นเสี่ยอี้พยักหน้า เอ่ยถามไปตามประสา “งั้นเหรอ” ทว่าเธอไม่ได้ดูตื่นตะลึงเท่าที่ควร เธอรู้สึกมาตลอดว่าเมิ่งหลีลี่ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็สามารถหยิบฉวยโอกาสไว้ได้อย่างเหมาะสมดังใจต้องการ ไม่มีทางเป็นหญิงสาวอ่อนแอร้องไห้กระซิกๆ อย่างแน่นอน

จู่ๆ เธอก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมา ‘ใต้หล้าไม่มีสิ่งใดบอบบางเช่นน้ำ แล้วก็ไม่มีสิ่งใดแรงแข็งแรงพอจะเอาชนะน้ำได้ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง’

ในเมื่อเอาชนะตระกูลนั้นได้ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่ประเดี๋ยวเดียวเธอก็ได้รับความรักใคร่จากนายใหญ่หวงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หญิงสาวผู้นี้แม้จะบอบบาง ทว่าจะดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด

“ความจริงแล้วพวกเรายังดีเสียกว่า เป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดาๆ แค่ปีกไก่ชิ้นเดียวก็มีความสุขได้เป็นครึ่งค่อนวัน” จากนั้นโจวผิงซินก็เริ่มจัดการปีกไก่บนจานทันที

“ก็ต้องความรักเรียบๆ ง่ายๆ แบบของเธอสินะ เรียบง่ายเสียจนผีสางเทวดายังซาบซึ้งใจจนต้องหลั่งน้ำตา”

เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มพลางยื่นตะเกียบออกไปคีบอาหาร แล้วจู่ๆ ก็พบต้นหอมเขียวอี๋อยู่ในจาน เธออดไม่ได้ที่จะคลุ้มคลั่ง “ฉันบอกไปชัดเจนแล้วนะว่าไม่ใส่ต้นหอม”

หลังมื้ออาหาร สามีของโจวผิงซินอดรนทนไม่ไหวที่จะรับภรรยากลับบ้าน เสิ่นเสี่ยอี้จึงทำได้เพียงกลับไปเอาของที่บริษัทคนเดียว เพิ่งจะเดินถึงหน้าประตูตึกระฟ้าลี่ซื่อกรุ๊ปเธอก็เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังออกมาจากด้านใน

แน่นอนว่าลำดับแรกเป็นลี่เจ๋อเหลียง ทว่าลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้เป็นจุดโฟกัสเดียวท่ามกลางกลุ่มคน เพราะข้างกายเขายังมีชายหนุ่มปากแดงฟันขาวอยู่คนหนึ่ง หากพิจารณาเพียงหน้าตาของคนคนนั้นก็สู้ความหล่อเหลาดุดันของลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อวางทุกอย่างรวมกันบนใบหน้าของเขากลับมีบางอย่างที่ไม่ธรรมดา

ลี่เจ๋อเหลียงเห็นเสิ่นเสี่ยอี้ก่อน เขาจ้องมองเธอเรียบๆ แวบหนึ่งแล้วจึงเบนสายตาออกไป เสิ่นเสี่ยอี้เบ้ปาก เธอเห็นท่าทีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายกลับไปกลับมาอย่างนี้ของเขาเป็นเรื่องปกติไปนานแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่สวมใส่ชุดทางการ เธอก้มมองการแต่งตัวที่ไม่อาจสู้หน้าได้ตั้งแต่หัวจรดเท้าของตัวเองก่อนเตรียมที่จะหลีกเลี่ยงจากทุกคน เธอหันหลังขวับอย่างเร็วแล้วขยับตัวไปด้านข้าง น่าเสียดายที่ไม่ทันเสียแล้ว

“เสี่ยอี้!” ชายหนุ่มปากแดงฟันขาวคนนั้นเรียกเธอจากที่ไกลๆ ด้วยความตื่นตะลึง

เสิ่นเสี่ยอี้ยืนหันหลังให้พวกเขา หน้าตายับยู่เข้าด้วยกัน ปากด่าทอได้ระลอกหนึ่งก็เปลี่ยนสีหน้าในฉับพลัน จากนั้นจึงหันกลับไปด้วยความจนใจ ยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “คุณจัน สวัสดีค่ะ”

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง

  • Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง

    ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 2

    By

    บทที่ 2 ปากบอกว่าไม่แต่ใจรัก เรื่องราวทั้งหมดบนโลกใบนี้ง่ายดายอย่างแค่รักหรือไม่รักที่ไหนกันล่ะ   (1) ลี่เจ๋อเหลียงไม่ได้มาทำงานที่บริษ...

  • Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง

    ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 1

    By

    บทที่ 1 ประตูห้องบันได ความจริงแล้ว ความเหงาเป็นผลพวงจากการใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย   (1) เสิ่นเสี่ยอี้เพิ่งจะขึ้นมาชั้นบนก็พบว่าบร...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com