Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง
ทดลองอ่าน Lie to Love เกมรักซ่อนกลลวง บทที่ 3
(5)
ตอนบ่าย หยางวั่งเจี๋ยได้รับโทรศัพท์จากอิ่นเซี่ยวเหมย
“คิกๆ” เธอหัวเราะออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง
“มีอะไรถึงดีใจขนาดนี้เชียว”
“ปมในใจคลี่คลายก็ต้องดีใจสิคะ” อิ่นเซี่ยวเหมยกล่าว
“ปมในใจอะไรกัน”
“เรื่องคุณเสิ่นคนนั้นที่คราวก่อนฉันบอกว่าเคยเห็นไงล่ะ พูดอยู่ตั้งนานพี่ก็ไม่ได้ใส่ใจเลย”
หยางวั่งเจี๋ยยิ้มบางๆ ไม่คิดว่าเธอจะจริงจังขนาดนี้ “ไม่กี่วันมานี้ฉันทำงานยุ่งน่ะ แม้แต่แซ่ตัวเองก็แทบจะลืมไปแล้ว”
“ที่แท้ของชนิดเดียวกันก็อยู่รวมกัน คนแบบเดียวกันก็อยู่รวมกันจริงๆ ด้วย พี่กับพี่ชายของฉันนี่พอๆ กันเลย พอทำงานทีก็ไม่เป็นอันกินอันนอน ปกติก็เก็บตัวจะแย่อยู่แล้ว”
หยางวั่งเจี๋ยเตือนเธอ “เธอบอกว่าจะเล่าอะไรให้ฉันฟังไม่ใช่เหรอ วนอ้อมไปไหนแล้วล่ะ”
“อ๋อ เสิ่นเสี่ยอี้กับฉันเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัย M เหมือนกันน่ะค่ะ เมื่อวานจู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้”
“ศิษย์เก่า?”
“ค่ะ เธอเป็นรุ่นพี่ฉันตอนเรียนมหาวิทยาลัย เมื่อก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัย M พวกเราก็อยู่ชมรมละครในฝันเหมือนกัน” อิ่นเซี่ยวเหมยอธิบาย “ก็คือชมรมละครพูดของมหาวิทยาลัยเราน่ะค่ะ มิน่าล่ะถึงได้คุ้นหน้านัก”
“งั้นเหรอ” หยางวั่งเจี๋ยตอบกลับอย่างใจลอย
“เมื่อก่อนเธอยังเคยเล่นละครกับฉันด้วย คิดถึงช่วงเวลานั้นจังเลย” อิ่นเซี่ยวเหมยทอดถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพ่อของฉันห้ามเอาไว้ ฉันก็อยากเป็นนักแสดงเหมือนกัน”
“เธอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง เริ่มคิดมากเกินเหตุแล้วเหรอ”
อิ่นเซี่ยวเหมยแม้ว่าจะอายุไม่น้อย แต่ก็ถือเป็นไข่มุกวาวในมือของบิดามารดามาตลอด ดังนั้นด้วยนิสัยไร้เดียงสาน่ารักของเธอจึงมักจะให้ความรู้สึกยังไม่โตกับคนอื่นๆ อยู่เสมอ
“พี่วั่งเจี๋ย เมื่อไหร่พวกเราจะนัดคุณเสิ่นออกมารำลึกความหลังกันดีล่ะ”
“เรื่องนี้…” หยางวั่งเจี๋ยค่อนข้างทำตัวไม่ถูก
“อ๋อ ฉันรู้แล้ว พี่คิดไม่ซื่อ ถูกใจคุณเสิ่นเข้าใช่ไหมล่ะ”
หยางวั่งเจี๋ยพลันแก้ตัวลำบาก ทำได้เพียงกล่าวว่า “งั้นรอให้คุณเสิ่นมีเวลาว่างก่อนค่อยว่ากันนะ”
ทว่าเวลาเดียวกันนี้ ‘คุณเสิ่น’ กำลังอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ของลี่เจ๋อเหลียง
อพาร์ตเมนต์นี้ไม่ได้เหมือนอย่างที่คนทั่วๆ ไปคิด มันเป็นคฤหาสน์กว่าพันตารางเมตรแบบที่เดินจากห้องนอนไปถึงห้องอาหารก็กินเวลาหลายนาทีแล้ว ลิฟต์เป็นลิฟต์ธรรมดาก็จริง แต่ห้องทุกห้องจะพิเศษตรงที่หน้าต่างสามารถชมทิวทัศน์ของทั้งเมืองได้ รวมถึงสามารถมองเห็นเขาหมิงชุ่ยลูกนั้นที่อยู่ในเมืองได้ด้วย
ห้องหับตกแต่งไว้อย่างสะอาดตามาก แม้แต่โคมไฟก็เป็นสีและแบบที่เรียบง่ายสว่างไสว
ตัวอพาร์ตเมนต์นอกจากห้องรับแขกแล้วก็มีห้องนอน ห้องหนังสือ และยังมีห้องพักผ่อนที่ข้างในมีเพียงโต๊ะสนุ๊กเกอร์วางอยู่หนึ่งตัว
เสิ่นเสี่ยอี้ในตอนนี้ไม่ได้มีอารมณ์จะขบคิดเรื่องความชอบของลี่เจ๋อเหลียงแม้แต่น้อย เธอเข้ามาในห้องได้ก็ตรงไปนั่งบนโซฟาในห้องรับแขก ไม่แม้แต่จะกระดิกกระเดี้ย
ลี่เจ๋อเหลียงไม่เพียงให้เสี่ยวหลินเรียกรถมาส่งเธอ ซ้ำยังลางานให้เธอครึ่งวันอย่างโจ่งแจ้ง ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าเขาใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวหรือปฏิบัติต่อลูกน้องอย่างโอบอ้อมอารีดี มุมปากของเสิ่นเสี่ยอี้ขมุบขมิบถากถาง
ตอนที่เธอมาท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว เธอไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่นานแค่ไหนแล้ว เห็นเพียงสีท้องฟ้าที่นอกหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนไปมืดทึบ แสงไฟต่างๆ ค่อยๆ สว่างขึ้นช้าๆ ทำให้ท้องฟ้าสีดำขลับสะท้อนเป็นสีแดงฉาน
อยู่ตัวคนเดียว ไฟก็ไม่ได้เปิด เธอรออยู่ทั้งอย่างนั้น รอให้ผู้ชายคนนั้นกลับมาท่ามกลางความมืดมิด
‘ติ๊งต่อง’ ทันใดนั้นเอง เธอรับรู้ได้ถึงเสียงที่ดังขึ้นอย่างฉับไว ดูเหมือนว่าลิฟต์จะดังขึ้นที่ชั้นนี้ จากนั้นเสียงฝีเท้าก็มุ่งมาทางนี้ ใกล้เข้ามามากขึ้นทีละก้าว ใจของเธอตื่นตระหนก ยืดเอวตรง กลั้นลมหายใจ มือทั้งสองข้างจับกระเป๋าถือเอาไว้แน่น เสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาทุกขณะ ทว่าตอนที่เดินผ่านประตูนี้กลับไม่ได้หยุดชะงัก แต่เลี้ยวไปทางอื่น
ไม่ใช่เขา
ขณะที่ในใจเกิดสามคำนี้ขึ้นมาอย่างมั่นใจ เสิ่นเสี่ยอี้ถึงได้ผ่อนคลายลง เธอแบฝ่ามือออกดู ถึงขั้นมีเหงื่อบางๆ ผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง
จากนั้นโทรศัพท์ของเสิ่นเสี่ยอี้ก็ดังขึ้น น้อยนักที่บริเวณนี้จะเกิดเสียง ดังนั้นเมื่อเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจึงทำให้เธอตื่นตกใจ
“เสี่ยอี้จ๊ะ” เป็นป้าเริ่นโทรมา
“ป้าเริ่น”
“เมื่อตะกี้เสี่ยฉิงพูดอยู่ดีๆ แล้วจู่ๆ ก็พูดถึงหลานขึ้นมาล่ะ” น้ำเสียงของป้าเริ่นฟังดูเบิกบานใจ เพราะตั้งแต่ที่ป่วยมาเสิ่นเสี่ยฉิงก็ไม่เคยรู้จักใครอีกนอกจากคนที่บ้าน รวมไปถึงเสิ่นเสี่ยอี้ด้วย
“พูดถึงหนูว่ายังไงคะ”
“เธอกินข้าวแล้วจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาว่า ‘พ่อจะไปเยี่ยมเสี่ยอี้หรือเปล่าคะ’ ถามป้าอยู่สองครั้ง”
เสิ่นเสี่ยอี้ยิ้มพลางกล่าวว่า “ดีจังเลยค่ะ”
ก็ดีจริงๆ นั่นแหละ ถึงอย่างไรเสิ่นเสี่ยฉิงก็เป็นญาติที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเพียงคนเดียวของเธอบนโลกใบนี้
หลังวางโทรศัพท์เธอรู้สึกค่อนข้างเพลียจึงขดตัวทั้งชุดเดิม อยากจะงีบหลับที่มุมหนึ่งของโซฟาสักหน่อย จะได้มีเรี่ยวแรงรับมือกับเรื่องราวหลังจากที่ลี่เจ๋อเหลียงกลับมา เธอพิงตัวลงไป รู้สึกได้ว่าบนใบหน้ามีอะไรแปลกๆ พอยื่นมือออกไปลูบคลำก็เป็นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมานี่เอง
เมื่อใช้ปลายนิ้วสัมผัสก็รู้สึกเย็นเจี๊ยบ
เสิ่นเสี่ยอี้สะลึมสะลืออยู่บนโซฟาอย่างยากลำบากจนกระทั่งฟ้าสาง ส่วนลี่เจ๋อเหลียงก็ไม่ได้ปรากฏตัวทั้งคืน เธอเปลี่ยนไปสวมชุดสูทสะอาดสะอ้าน เมื่อล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วก็เตรียมตัวไปทำงาน
ไม่ถึงสิบโมงก็มีคนโทรศัพท์แจ้งเธอให้ไปประชุม
“ประชุมอะไรคะ” เธอถาม
“ประชุมประสานงานยุทธศาสตร์อ่าวหลันเถียนค่ะ” ผู้ช่วยของเซวียฉีกุยตอบคำถาม ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเมื่อวานที่เธอขวางเสิ่นเสี่ยอี้เอาไว้ที่นอกประตูห้องประชุมเลยแม้แต่น้อย
เฮอะ เสิ่นเสี่ยอี้คิด สัญญามีผลทันทีที่เขาพูดถึงก็รวดเร็วว่องไวอย่างนี้นี่เอง ตอนนี้สิทธิ์ของเธอกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง จึงอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงประชดประชันออกมา
เสิ่นเสี่ยอี้เดินไปที่หน้าประตูโถงประชุมก็ปะทะเข้ากับลี่เจ๋อเหลียงที่รอให้ผู้ร่วมประชุมเดินเข้ามาพอดี
เธอเบือนหน้าหนีไป ไม่อยากมองหน้าเขา
ลี่เจ๋อเหลียงเม้มปากแน่น เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นเดียวกัน เซวียฉีกุยที่อยู่เยื้องเขาไปกลับกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ยินดีด้วยนะครับทนายเสิ่น พวกเราตัดสินใจรับข้อเสนอของคุณแล้ว”