หลังจากดื่มเหล้าไปสามรอบ จันตงเจิ้นก็ไปเข้าห้องน้ำ
เสิ่นเสี่ยอี้มองดูเงาหลังของเขาอย่างไม่วางใจแล้วจึงตามออกไปด้วย เธอเดินไปยังหัวโค้งก่อนถึงห้องน้ำ แต่กลับถูกจันตงเจิ้นดึงเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่ว่างเปล่าและมืดสนิท
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องตามมา” จันตงเจิ้นกล่าว
“นายเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดี ตอนนี้ยังไม่เป็นไร” จันตงเจิ้นกล่าวไปก็ประคองใบหน้าของเธอ “เธอเอาแต่ขมวดคิ้วทำไมนักล่ะ”
“ตงเจิ้น…”
“จู่ๆ ได้ยินเธอเรียกฉันแบบนี้ รู้สึกห่างเหินใช้ได้เลย” จันตงเจิ้นหัวเราะออกมา เวลานี้เขาเมามายไม่ได้สติ รู้สึกวิงเวียนขึ้นมากะทันหัน เขาโน้มตัวลงหนุนหน้าผากบนไหล่ของเสิ่นเสี่ยอี้ “ฉันค่อนข้างเวียนหัว ให้ซบหน่อยนะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ทอดถอนใจ เอื้อมมือออกไปลูบผมของเขา “เวลานายดื่มเหล้าไม่ควรทำตัวอวดเก่งเกินไปนะ”
“ฉันไม่อยากทำอะไรก็ตกเป็นรองนี่นา”
“อะไรตกเป็นรองไม่ตกเป็นรองกันล่ะ อย่าดื่มให้มากนักเลย”
ได้ยินเสิ่นเสี่ยอี้ต่อว่า จันตงเจิ้นก็หัวเราะอย่างรู้ใจ “เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เสี่ยอี้อ่อนโยนขนาดนี้ด้วย ฉันก็แค่ไม่อยากแพ้ให้เขาไปทุกเรื่องน่ะ”
“เอาล่ะๆ ถูกนายเอาเปรียบมาพอแล้ว พวกเราออกมาพร้อมกันนานขนาดนี้ไม่ยอมกลับไปสักที พวกเขาจะสงสัยเอานะ”
เสิ่นเสี่ยอี้ผลักเขาออกเบาๆ จันตงเจิ้นเองก็ยืดตัวตามไปด้วย
ทั้งสองคนออกจากห้องว่างห้องนั้นพร้อมๆ กัน ตอนที่จะเข้าไปในห้องอาหารจันตงเจิ้นส่งสัญญาณให้เธอเข้าไปก่อน ส่วนเขาพิงอยู่กับกำแพงรออีกสักครู่
“นี่” ก่อนจะผลักประตูเสิ่นเสี่ยอี้หันหลังกลับมาเรียกเขาไว้
“หืม?” เขาเงยหน้า
“ตงเจิ้น ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่นายทำเพื่อฉันนะ” เสิ่นเสี่ยอี้กล่าว
“พวกเรายังต้องพูดเรื่องนี้กันอีกเหรอ” เขาหัวเราะใส่เธอ
เสิ่นเสี่ยอี้ผลักประตูเดินเข้าไปยังที่นั่ง ก่อนเห็นว่าลี่เจ๋อเหลียงเองก็เหมือนจะเพิ่งเข้ามานั่งเช่นกัน เขานั่งสูบบุหรี่อยู่คนเดียว ขมวดคิ้วแน่น
เธอกลับเข้ามาสักครู่จันตงเจิ้นถึงได้กลับเข้ามาช้าๆ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าตอนก่อนออกไปสักหน่อยแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากที่เธอกลับมาเขาได้ไปอาเจียนในห้องน้ำคนเดียวหรือเปล่า เธอรู้ว่าบางคนถ้าดื่มจนแทบจะไม่ไหวแล้วเมื่อไปอาเจียนก็จะรู้สึกสบายขึ้นมาก
เดิมทีเสิ่นเสี่ยอี้กินข้าวมาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้เธอจึงไม่ได้อยากกินอีกแม้แต่คำเดียว อีกอย่างอยู่ที่นี่เธอเองก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร จึงไม่มีใครมาคอยจับสังเกตเธอโดยไม่จำเป็น ในห้องมีควันบุหรี่ลอยคลุ้ง ส่งกลิ่นตลบอบอวลเสียจนเธออยากอาเจียน ทำได้เพียงขอร้องให้มื้ออาหารมื้อนี้จบลงโดยเร็วที่สุด
เธอไม่มีเรื่องอะไรต้องทำ แต่จะให้เอามือถือออกมาเล่นเกมด้วยความเบื่อหน่ายก็คงจะไม่เหมาะนัก แบบนั้นจะไม่เป็นการทำให้ลี่ซื่อกรุ๊ปเสียหน้าหรือไง ดังนั้นวิธีฆ่าเวลาของเธอจึงเป็นการปั้นหน้ายิ้มแย้ม แสร้งทำทีเป็นฟังพวกเขาพูดจากันด้วยความตั้งอกตั้งใจ
สักครู่ใหญ่ๆ เธอก็แยกแยะตำแหน่งคนฝั่งตงเจิ้งกรุ๊ปได้อย่างชัดเจน
ข้างๆ จันตงเจิ้นมีอยู่สองคนที่เป็นคนใกล้ชิดที่สุด คนหนึ่งเป็นเลขาฯ ของเขาแซ่หลี่ ผู้หญิงอีกคนคาดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการแผนกประชาสัมพันธ์แซ่จ้าว นามว่าจ้าวหลิงเฟย อายุราวๆ สามสิบ ถึงแม้หน้าตาจะไม่ได้ล่มชาติล่มเมือง แต่ยามที่ดวงตาคู่นั้นเหลือบซ้ายแลขวาก็ดูน่าหลงใหลเสียเหลือเกิน
ผู้จัดการจ้าวคนนี้ดื่มเหล้าเก่งจริงๆ คิดว่าคงจะให้เธอรับมือกับลี่เจ๋อเหลียงโดยเฉพาะ สาวงามเชิญดื่มเหล้าอีกทั้งยังดื่มหมดก่อนเพื่อให้เกียรติ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มจะไม่ดื่มกันล่ะ
ไม่รู้ว่าลี่เจ๋อเหลียงเกิดเมาขึ้นมาบ้าง หรือโดยปกติเขาก็ชอบที่จะก้อร่อก้อติกกับสาวสวยอยู่แล้ว เวลานี้จึงยิ่งพูดจากับคุณจ้าวคนสวยอย่างถูกคอ เสิ่นเสี่ยอี้อดไม่ได้ที่จะด่าทอเขาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ เพิ่งด่าจบก็เห็นลี่เจ๋อเหลียงมองมาที่เธอเหมือนมีความนัยบางอย่าง
เพื่อที่จะปิดบังการด่าทอของตนเอง เธอจึงยิ้มแหยให้เขาอย่างใจฝ่อด้วยความรีบร้อน
ภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของคุณจ้าวคนสวยเข้าพอดี