เขาถามตั้งหลายคำถามในรวดเดียว ความเร็วในการพูดเร็วขึ้นทุกที น้ำเสียงโกรธจัด ทว่าก็ช้าลงพอดีที่คำว่า ‘กันแน่’ ในประโยคสุดท้าย
เสิ่นเสี่ยอี้พลันรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบ เธอตอบกลับไปง่ายๆ “ฉันจะอาศัยอะไรได้ล่ะ”
“ก็อาศัยที่ผมปฏิบัติกับคุณไม่เหมือนคนอื่นไงล่ะ คิดเองเออเองว่าผมลี่เจ๋อเหลียงชอบคุณ!”
เสิ่นเสี่ยอี้ได้ฟังถึงตรงนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นขาวซีด “ฉันเปล่านะ!”
“คุณลองย้อนถามตัวเองดูสิว่ามีตรงไหนที่ไม่ใช่” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าวด้วยความโกรธเคือง
ปากของเธอเผยอขึ้นเล็กน้อย คิดถกเถียงบางอย่างแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ทั้งสองต่างไม่อ่อนข้อให้กันอยู่ที่ตรงนั้น
ครู่หนึ่งผ่านไป เสิ่นเสี่ยอี้ถึงได้กล่าวขึ้นช้าๆ “เพื่อนอยู่ในวิกฤต จะยื่นมือไปช่วยเหลือก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์นี่คะ อีกอย่างการร่วมมือกันเรื่องอ่าวหลันเถียนก็เป็นเรื่องดีต่อลี่ซื่อกรุ๊ปกับตงเจิ้งกรุ๊ปทั้งคู่ แต่ฉันกลับไม่เข้าใจว่าทำไมคุณลี่ถึงยืนกรานจะเอาอ่าวหลันเถียนมาเป็นของตัวเอง ฉันเป็นคนหัวแข็งมาตั้งแต่เกิด นิสัยแข็งกร้าวไปบ้าง ที่ขัดแย้งกับคุณลี่คิดว่าเกิดจากนิสัยส่วนตัวของฉันเอง ฉันไม่ได้คิดเลยเถิดอย่างแน่นอน ถ้าคุณลี่เข้าใจผิดไปก็ได้โปรดอภัยให้ด้วยค่ะ”
เสิ่นเสี่ยอี้กล่าวจนจบด้วยสีหน้าเฉยชาและก็ไม่ได้โต้เถียงกับเขา เพียงแต่บอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าตัวเธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าพรุ่งนี้จะไม่มาทำงานที่นี่อีก
เมื่อลี่เจ๋อเหลียงได้ฟังก็หลับตาลง พยักหน้าไปด้วยพลางพูดติดต่อกันสามประโยค “ได้ๆๆ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ผมก็ควรทำตามความต้องการของคุณจะดีกว่า” เขามองไปที่เธอพร้อมกับกล่าวไปด้วย “เสิ่นเสี่ยอี้ พวกเรามาทำข้อตกลงกัน”
เสิ่นเสี่ยอี้ไม่ได้ตอบ รอให้เขากล่าวต่อไป
ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “แผนการร่วมมือเรื่องอ่าวหลันเถียนกับจันตงเจิ้น ผมตกลง” จากนั้นก็ชะงักไป “แต่คุณต้องเอาตัวคุณมาแลก”
เสิ่นเสี่ยอี้ลุกขึ้นยืนในทันใด “คุณลี่…นี่คุณ!”
ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว “ผมไม่ได้ล้อเล่น โครงการนี้ถ้าเกิดผมร่วมมือกับจันตงเจิ้นก็จะต้องลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาล ทนายเสิ่น หรือว่าจำนวนตัวเลขเท่านี้จะไม่เพียงพอให้คุณลดเกียรติลงมาล่ะ” เขากล่าวขึ้นอีก “อีกอย่างตอนนี้ตระกูลจันก็เหมือนตกนรกทั้งเป็นมาตั้งนานแล้ว ถ้าเกิดโครงการนี้เจรจาไม่สำเร็จแล้วทิ้งไปล่ะก็ เกรงว่าประคับประคองเอาไว้ได้ไม่กี่วันบรรดาผู้ถือหุ้นก็จะพากันขับไล่ ไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกภรรยาน้อยนี่ ในเมื่องเรื่องเป็นอย่างนี้แล้ว คิดว่าเขาคงไม่มีโอกาสได้แก้ตัวให้ตระกูลจันอีก คุณเองก็พูดไม่ขาดปากว่าจะช่วยเหลือเขาไม่ใช่หรือไง เรื่องแค่นี้เองทำไมคุณถึงไม่ยินดีที่จะทำล่ะ”
ขณะที่กล่าวไปความโกรธเคืองที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาเมื่อสักครู่นี้ก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น ราวกับว่าได้กลับมาเป็นลี่เจ๋อเหลียงที่ใจคอโหดเหี้ยมและไม่แยแสคนก่อนหน้านี้
“ถ้าเกิดฉันไม่ตกลงล่ะ” เสิ่นเสี่ยอี้เอ่ยถามอย่างเยือกเย็น
“คุณไม่มีทางไม่ตกลงหรอกน่า เพราะคุณรู้ดีไม่ว่าจะจันตงเจิ้นหรือถังเฉียวที่คุณเอาใจใส่ ขอแค่ผมขยับนิ้วมือหน่อยก็ทำให้พวกเขาตกนรกได้แล้ว” ดูจากสีหน้าของลี่เจ๋อเหลียงในตอนนี้แล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะพูดคุยกันแค่เรื่องทั่วๆ ไป ไม่ได้มีความสลักสำคัญ
สักครู่หนึ่งเขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “อีกอย่างถ้าจันตงเจิ้นล้มลง เซี่ยหมิงเฮ่าก็ล้มด้วย งั้นคุณว่าต่อไปพี่สาวของคุณจะทำยังไงล่ะ”
แววตาของเสิ่นเสี่ยอี้นิ่งอึ้งไปในทันที ก่อนจ้องมองไปที่เขา “คุณส่งคนไปสืบประวัติฉันเหรอ”
“ปัญหานี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเราพูดถึงกันอยู่” ลี่เจ๋อเหลียงไม่อยากตอบคำถามเธอสักนิด
เสิ่นเสี่ยอี้กำหมัดแน่น ข้อนิ้วบีบเข้าหากันจนเป็นสีขาว เคราะห์ดีที่เธอไม่เคยไว้เล็บยาว ไม่อย่างนั้นเล็บคงจะหักไปหมดแล้ว ผ่านไปนานสองนานเธอถึงได้คลายมือที่กำไว้
“อีกเดี๋ยวผมจะให้เลขาฯ หลินให้ที่อยู่และกุญแจห้องของผมกับคุณ คุณย้ายเข้ามาคืนนี้เลย สัญญาก็จะมีผลในทันที” ลี่เจ๋อเหลียงกล่าว
เสิ่นเสี่ยอี้หัวเราะเสียงเย็น “ถ้างั้นขอบังอาจถามคุณลี่สักข้อหนึ่ง เมื่อไหร่สัญญานี้จะจบลงคะ”
ลี่เจ๋อเหลียงหัวเราะพลางเอ่ย “รอจนผมเบื่อแล้วก็เป็นอันสิ้นสุดสัญญา”
กระทั่งเสิ่นเสี่ยอี้เดินจากไปลี่เจ๋อเหลียงถึงได้หุบยิ้ม เขาหยิบเอกสารที่อ่านอยู่เมื่อสักครู่นี้มาอ่านต่อ คิดไม่ถึงว่าอ่านอยู่นานก็อ่านไม่รู้เรื่องแม้แต่คำเดียว เขาโกรธเกรี้ยวอยู่ภายในใจ โยนเอกสารลงบนโต๊ะ พิงลงบนพนักเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้า แล้วหลับตาลงพักผ่อน
ในชั้นที่เขาอาศัยอยู่น้อยนักที่จะมีคนเข้าออก ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาชอบความสงบ ดังนั้นเวลาจะเดินเหินหรือพูดจาก็ล้วนแต่ระมัดระวัง เวลานี้พอเสิ่นเสี่ยอี้จากไปทั้งห้องก็เปลี่ยนไปเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาบนผนังที่ดังติ๊กต่อกอยู่อย่างเป็นจังหวะ แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับได้ยินเสียง ‘ปั้ก’ ปากกาที่อยู่ในมือเขาถูกหักออกเป็นสองท่อน
เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะโง่เขลาขนาดทำเรื่องพรรค์นี้ได้