วันนี้ฉันตื่นตั้งแต่ 07:00 น. ถือว่าเช้าเป็นพิเศษ ทั้งที่เมื่อคืนนี้มีการทำความสะอาดห้องครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบสามเดือน พ่อแม่ของฝ้ายบอกว่าจะมาถึงก่อนเที่ยง นั่นก็หมายความว่าอาจจะโผล่มาตอนแปดโมงเช้าหรือตอนสิบเอ็ดโมงห้าสิบเก้านาทีก็ได้ ซึ่งฉันจะต้องรับภาระในการคาดเดาเวลาด้วยหัวใจระทึกอยู่ฝ่ายเดียว
เสียงกดกริ่งจากหน้าประตูดังขึ้นด้วยจังหวะที่คุ้นหู แต่ก็ยังทำให้ตกใจเหมือนทุกครั้งที่ได้ยินอย่างไม่เคยชินเสียที
ฉันพลันเงยหน้าขึ้นจากนิตยสารเล่มหนา วางมันลงบนโต๊ะค่อนข้างแรงอย่างตื่นตูม จนฝ้ายซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ใกล้ๆ หันมามองแล้วหัวเราะคิกคัก นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 10:45 น. ฝ้ายเป็นคนลุกไปเปิดประตูในขณะที่ฉันกำลังนั่งเตรียมใจและจดจ่อกับการทักทายในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“ลูกฝ้ายของคุณหญิงแม่ (ของคุณพ่อ)”
ทันทีที่บานประตูเปิดกว้าง ท่านทั้งสองก็โผเข้ากอดบุตรสาวด้วยความรักความโหยหาอย่างรุนแรงจนฝ้ายเซไปหลายก้าว แล้วหลังจากทักทายลูกสาวเป็นที่เรียบร้อย รายต่อไปที่ต้องโดนจู่โจมก็คือฉันเอง
“สบายดีใช่มั้ยคะหนูปู” คุณหญิงแม่ที่มีกลิ่นน้ำหอมฟุ้งไปทั้งตัวเข้ามาลูบหลังลูบไหล่ฉัน แล้วหอมแก้มซ้ายขวา ถามไถ่ด้วยท่าทางรักใคร่ไยดีอย่างสุดซึ้งจนฉันขนลุกไปทั้งตัว ฉันตอบคำถามออกไปเบามากจนแทบไม่ได้ยินเสียงตัวเอง “ห้องสะอาดสะอ้านดีเหมือนเดิม ช่างเป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยน่ารักกันจริงๆ คุณหญิงแม่กับคุณพ่อไม่ได้มาตั้งนานเพราะงานยุ่งมากกก…ถ้าไม่มีหนูปูมาอยู่เป็นเพื่อนลูกฝ้ายเราคงเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำการทำงาน” คุณหญิงเอมอมรพูดพลางยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน
“พักนี้มีไอ้หนุ่มที่ไม่น่าไว้ใจหน้าไหนมาเกาะแกะทั้งสองคนบ้างรึเปล่า ถ้ามีล่ะก็ต้องรีบบอกพ่อมาเลยนะ ลูกสาวพ่อสวยแสนดีมีเสน่ห์ขนาดนี้ แถมยังอยู่กันตามลำพังแค่เฉพาะสาวๆ คงจะมีแน่ๆ เลยใช่มั้ยไอ้พวกผู้ชายไม่น่าไว้ใจที่ว่า ถ้ามีก็บอกมาเลยพ่อจะไปจัดการมันเอง!” คุณพ่อถามและจ้องหน้าฉันอย่างคาดคั้นเอาคำตอบจริงจัง ทำเอาฉันผวาจนต้องรีบหันไปทางฝ้ายเพื่อขอความช่วยเหลือ จริงๆ แล้วมันเป็นคำถามยอดฮิตที่เราจะต้องถูกพ่อแม่ฝ้ายซักไซ้อยู่เสมอที่เจอกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเคยตอบไปว่า…ไม่มี แล้วก็โดนพ่อฝ้ายสวนกลับมาแรงจนแทบผงะว่า…
‘อย่ามาโกหกพ่อ พ่อว่าตรงนี้พ่อได้กลิ่นผู้ชายชัดมาก!’
ตอนนั้นฝ้ายต้องรีบปราดเข้ามาขวางแล้วอธิบายว่าเมื่อกี้มีช่างของคอนโดฯ คนหนึ่งขึ้นมาซ่อมก๊อกน้ำให้เรา ดังนั้นก็น่าจะเป็นกลิ่นช่าง…คุณพ่อจึงรีบลงไปเช็กหลักฐานที่นิติฯ เมื่อรู้ว่าฝ้ายพูดความจริง หลังจากนั้นคุณพ่อจึงเชื่อมั่นในตัวเรามากขึ้นอีกระดับ ทว่าตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่กล้าตอบคำถามแบบนี้ของพ่อฝ้ายแบบสุ่มสี่สุ่มห้าอีกเลย
“โธ่ คุณพ่อขา ไม่มีหรอกค่ะผู้ชายน่ะ คุณพ่อจำต้า ลูกสาวคุณอาพิพัฒน์กับคุณอามาลินีได้มั้ย ที่เขามาซื้อห้องอยู่ติดกับหนู” ฝ้ายรีบอ้างถึงเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง “ต้าอยู่กับเราตลอด ก็เลยไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้เรา คุณพ่อคงจำได้ว่าต้าเป็นสาวห้าวที่ดุขนาดไหน”
คุณพ่อมองฝ้ายอย่างพินิจพิเคราะห์ ท่าทางเหมือนไม่ค่อยเชื่อ หากก็ยอมรับฟังแต่โดยดีก่อนจะถามไถ่ถึงต้าบ้าง
ต้าเป็นเพื่อนกับฝ้ายมาตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เรียนที่เดียวกันมาตลอดจนกระทั่งตอนนี้ พ่อแม่ของพวกเขารู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่ฝ้ายกับต้ายังไม่เกิด แม้ว่าหลายปีมานี้จะห่างเหินกันไปเพราะหน้าที่การงานของแต่ละคน แต่มิตรภาพเก่าๆ ยังคงอยู่
หลังจากคุยกันอยู่หน้าทีวีนานพอควร ท่านทั้งสองก็เริ่มลุกไปเดินสำรวจรอบๆ ห้อง ปล่อยให้ฉันแอบมองตามเงียบๆ ด้วยความกังวลอย่างสูงสุด
“คุณแม่ขา หยุดก่อนค่ะ นั่นมันห้องนอนปูต่างหาก ถ้าจะดูห้องหนูล่ะก็อยู่ทางนี้” ฝ้ายรีบส่งเสียงทักท้วงทันทีที่เห็นคุณหญิงแม่ไปหยุดยืนจับลูกบิดประตูห้องนอนฉัน
“แต่หนูปูก็เหมือนลูกสาวคนหนึ่งของคุณหญิงแม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณหญิงแม่ก็ต้องดูแลหนูปูแบบเดียวกับที่ดูแลหนูฝ้ายทุกอย่าง”
ฮือออ…พูดแบบนี้ก็แย่สิคะคุณหญิงแม่ขาาา…
“ว่าไงคะ หนูปูจะไม่ว่าอะไรคุณหญิงแม่ใช่มั้ยคะ”
ฉันเลิ่กลั่กเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วจำใจพยักหน้ายินยอมอย่างไม่มีทางเลือก ฝ้ายมองฉันอย่างรู้สึกผิดและขอโทษ ฉันจึงพยายามยิ้มกับเธอเพื่อจะบอกว่าเรื่องแค่นี้เองไม่เห็นเป็นไรเลย…ฮือออ…
“อุ๊ยตาย หนูปูยังคลั่งไคล้ดาราเหมือนเดิมนะคะลูก เอ…รู้สึกว่าคนนี้หนูปูจะปลื้มเขามาตั้งนานแล้วนี่นา ป่านนี้ยังไม่เปลี่ยนใจหรือคะ” คุณหญิงแม่ถามฉันด้วยสีหน้าประหลาดใจปนทึ่ง ซึ่งฉันก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ “แต่ว่านักร้องคนนี้แม่ก็ชอบเหมือนกันนะ เขาวางตัวดีแถมยังร้องเพลงเพราะด้วย แสดงละครก็เก่ง”
“ไหนๆ งั้นขอพ่อเข้าไปดูหน่อยสิว่ามีรูปผู้ชายแปลกหน้าท่าทางไม่น่าไว้ใจอยู่ในห้องบ้างรึเปล่า”
“คุณพ่อออ อย่าค่ะ ของแบบนั้นในห้องปูไม่มีหรอก” ฝ้ายรีบลุกไปฉุดรั้งให้ทั้งสองคนย้ายไปสำรวจที่ห้องของเธอบ้าง ทำให้ฉันค่อยหายใจสะดวกขึ้น
ฉันเข้าใจดีว่าท่านทั้งสองไม่มีพิษมีภัยอะไร และไม่ได้คิดจะเสียมารยาทแต่อย่างใด ที่ทำไปทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเพราะความห่วงใยและปรารถนาดีต่อเราทั้งสิ้น แต่มันก็น่าปวดหัวไม่น้อย