รูม่านตาขยายกว้างหลายเท่าเพราะการสูดลมหายใจลึกๆ ในที่สุดชูหลี่ก็สะกดไฟโทสะของตนลงได้…ดึงจดหมายลาไปทำงานนอกสถานที่มาจากมือเหลียงชงลั่ง แล้วเปลี่ยนไปพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ทำไมคะ ไม่ได้ทำงานแบบไม่รับฟังใครสักหน่อย ไม่คิดจะยอมรับคำตักเตือนจากลูกน้องหน่อยเหรอ คุณไม่อนุมัติจดหมายลาไปทำงานนอกสถานที่ก็ช่างเถอะค่ะ ฉันใช้วันลาประจำปีของตัวเองก็ได้…”
อารมณ์โมโหมาเร็วไปเร็ว วินาทีก่อนหน้านี้ยังทำท่าโวยวายอยู่เลย วินาทีต่อมากลับทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เหลียงชงลั่งตามไม่ทันนิดหน่อย…เขามองชูหลี่หยิบปากกาที่อยู่บนโต๊ะเขาไปแก้บนจดหมายลา ขีดๆ เขียนๆ สองทีอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็วางไว้เบื้องหน้าเขาอย่างแรง…
เหลียงชงลั่งชะโงกศีรษะเข้าไปดู โอ้ ใช้วันลาประจำปีของตัวเองจริงๆ ด้วย
ดังนั้นเขาก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว อนุมัติการลาให้อย่างสบายอารมณ์ ส่วนชูหลี่ก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เก็บจดหมายลาเตรียมตัวไปหาฝ่ายบุคคล…แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานรองประธานของเหลียงชงลั่งอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ชั่วขณะที่ปิดประตู เธอได้ยินคำพูดลอยมาจากทางที่นั่งของเขาเบาๆ
“บ้าไปแล้ว”
ใบหน้าชูหลี่มั่นคงดุจเขาไท่ซาน ออกไปอย่างเร่งรีบ ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับไป
ต้องขอบคุณการทุ่มเทปลูกฝังตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของเหล่าเหมียว ทุกอย่างที่พบเจอหลายเดือนมานี้สอนเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งให้เธอ นั่นก็คือ ‘อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนโง่ มันเปล่าประโยชน์’
ตอนเย็นขณะกลับบ้าน ชูหลี่จัดการอารมณ์ทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางข่าวซุบซิบนินทาในช่วงนี้ ทุกวันพอโจ้วชวนอัพเดตนิยายและโพสต์ลงเวยป๋อเสร็จก็จะล็อกเอาต์ออกมาทันที ไม่อ่านคอมเมนต์ ไม่อ่านที่แชร์โพสต์ ไม่อ่านข้อความส่วนตัว ใช้วิธีตามหลักการนกกระจอกเทศ* ที่ว่า ‘พวกคุณด่าได้ตามสบาย ผมไม่เห็นก็แสดงว่ามันไม่มีอยู่จริง’ เขาในฐานะคนติดโซเชียลจึงต้องหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยซีรี่ส์อังกฤษ ซีรี่ส์อเมริกัน ซีรี่ส์ญี่ปุ่น และซีรี่ส์เกาหลีที่ล้าหลังไปสิบกว่าปี จากนั้นก็ว่างงานจนกลายเป็นปลาเค็มตัวหนึ่ง
ดังนั้นทุกวันหลังจากชูหลี่เลิกงาน เขาจะเดินตามหลังเธอเข้าๆ ออกๆ ห้องครัว ขึ้นๆ ลงๆ บันได ตอนที่เธอกำลังเช็ดเครื่องสำอาง ผู้ที่รออยู่ตรงประตูห้องน้ำตาปริบๆ นอกจากเจ้าเอ้อร์โก่วแล้ว ตอนนี้มีผู้ชายของเธอเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ชูหลี่เหลือบมองชายหนุ่มจากในกระจก “มีอะไรคะ”
เขาอารมณ์ไม่ดีและดูท่าทางเหมือนกำลังหงุดหงิดเรื่องอะไรอยู่
โจ้วชวนเผยท่าทีลังเลออกมาราวกับว่ามีประโยคหนึ่งติดอยู่ที่ปลายลิ้น กลืนลงไปสามรอบ ในที่สุดก็เอ่ยออกมาอย่างเนิบช้า
“ลางานแล้วหรือยัง”
“ลาแล้วค่ะ” ชูหลี่ก้มหน้าเปิดเครื่องล้างหน้า แล้วกดลงบนใบหน้าท่ามกลางเสียงดังครืดๆ “คุณพูดซ้ำไปซ้ำมาทั้งวันอย่างกับพี่สะใภ้เสียงหลิน ฉันจะลืมได้เหรอคะ”
“ยืนยันวันแล้วนะ เป็นพุธนี้ถึงจันทร์หน้า”
“ค่ะ”
โจ้วชวนจ้องชูหลี่ สักพักก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยคงไม่ได้ขัดขาคุณหรอกนะ เท่าที่ผมรู้จักพวกเขา เหลียงชงลั่งอาจจะพูดว่านักเขียนดาวใกล้ร่วงอะไรสักอย่างออกมา คุณอย่าไปใส่ใจคำพูดบ้าบอพวกนั้นมากเลย…”
“…”
ดูสิ ความคิดของสุมาเจียว ผู้ผ่านทางล้วนล่วงรู้*
เหลียงชงลั่งคงคิดว่าฝีมือการแสดงของตัวเองยอดเยี่ยม แต่ปรากฏว่าแม้แต่คนทึ่มอย่างโจ้วชวนก็มองออกถึงความไม่เข้าท่าของเขา
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” ใบหน้าของชูหลี่สั่นเพราะแรงนวดจากเครื่องล้างหน้า แม้แต่เสียงพูดก็สั่นเล็กน้อย ทว่าสีหน้าภายใต้โฟมกลับสงบนิ่ง แววตาแน่วแน่ “ต่อให้เขาใจกล้าบ้าบิ่นแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นหรอก คุณคือโจ้วชวนเชียวนะ”
มองจากในกระจก สีหน้าของชายหนุ่มที่พิงกรอบประตูค่อยๆ ดีขึ้นเล็กน้อย…หลายวันมานี้เขาคงถูกรังแกมาไม่น้อย มิฉะนั้นทำไมตอนนี้แม้แต่สุนัขอย่างเหลียงชงลั่งก็ยังมีอิทธิพลต่อเขาได้…โจ้วชวนผู้มั่นคง ถึงคราวที่เหลียงชงลั่งมาควบคุมความรู้สึกของเขาได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
ชูหลี่มองท่าทางของโจ้วชวนแล้วก็นึกเอ็นดู จึงเอื้อมมือเขย่งเท้าไปตบศีรษะเขาเบาๆ การกระทำแบบนี้ทำให้เขาตะลึงงัน
ชูหลี่ล้างหน้าล้างมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินผ่านโจ้วชวนเตรียมตัวจะไปทำอาหาร หลังจากละล้าละลังอยู่สองวินาที เขาก็เดินตามเธอเข้าไปในห้องครัวราวกับพวงหางเล็กๆ
ขณะนั้นโทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่น พอเปิดดูก็เห็นว่าเป็นอากุ่ย หลังจากที่เธอรู้ว่า ‘โจ้วชวนคือ Mr. L’ ก็ยอมรับอย่างใจเย็นแล้วเชื่อมต่อกับบัญชีหลักของโจ้วชวนด้วยความดีอกดีใจ…
ตอนนั้นอากุ่ยพูดว่า ‘มีอะไรน่าโมโหกัน โกหกก็โกหกไปแล้ว วันเกิดตอนอายุสิบแปดของคุณวันนั้น จู่ๆ พ่อแม่บอกคุณว่าขอโทษนะลูกที่โกหกลูกมาสิบแปดปี จริงๆ แล้วครอบครัวของเรามีทรัพย์สินร้อยล้าน เดิมทีแล้วลูกไม่ต้องลำบากลำบนเรียนหนังสือขนาดนั้นหรอก…ปฏิกิริยาแรกของคุณคือรู้สึกเหมือนผืนฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย จะเอามีดตัดเค้กพาดไว้บนคอตัวเองขู่ฆ่าตัวตายหรือไง…เลิกทำตัวเกิดมาท่ามกลางความสุขแต่ไม่รู้จักความสุขได้แล้ว ว่ากันตรงๆ เลยนะ ฉันรอวันที่พ่อแม่บอกคำนี้กับฉันมายี่สิบกว่าปี จะให้รออีกหนึ่งวันก็รอไม่ไหวแล้ว’