คืนนี้โจ้วกู้เซวียนแต่งกายลำลองแบบผู้ใหญ่มีอายุ ดูแล้วเป็นกันเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ชูหลี่ได้พบกับปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมตัวจริง…เธอยืนอยู่ด้านนอกประตู พยายามรักษาน้ำเสียงให้สงบนิ่ง หลังจากทักทายถามสารทุกข์สุกดิบกันตามมารยาทแล้ว ชูหลี่ก็ได้สติคืนกลับมา สองมือเธอจับมือใหญ่ของโจ้วชวนแน่น บทบาทกุลสตรีที่สงบเสงี่ยมอะไรนั่นหายไปหมดแล้ว
โจ้วกู้เซวียนมองชูหลี่ ยิ้มอย่างเบิกบานเหมือนกับมอง บ.ก. ผู้ยอดเยี่ยมที่คอยช่วยเหลือลูกชายของเขาจากภัยอันตราย
คุณนายโจ้วมองชูหลี่ สายตากวาดผ่านมือชูหลี่ที่จับมือโจ้วชวนไว้แน่น หญิงสาวอิงแอบอยู่ข้างๆ ลูกชายที่รูปร่างสูงใหญ่และหล่อเหลาของเธอราวกับต้นหลิวต้องลม ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย ท่าทางที่เหมาะสมกันอย่างยิ่งของทั้งสองคน ทำให้เธอยิ้มเหมือนกับพอใจว่าที่ภรรยาของลูกชาย
โจ้วชวนมองชูหลี่ มองดวงตาของเธอที่ปกติจะเป็นประกายเพียงแค่ตอนที่มองเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้เธอกำลังมองพ่อของเขาด้วยดวงตาสุกสกาวราวกับหมู่ดาว ท่าทางที่ทั้งเขินอายและนับถือ ทำเอายิ้มไม่ออกเลยสักนิด
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ยื่นมือไปบีบคางเธอแล้วหมุนหน้าเธอกลับมา “ทำอะไรน่ะคุณ ต้นฉบับของพ่อผมเป็นของ บ.ก. นิตยสารเส้นทางแห่งดวงดาว คุณอย่าคิดจะแย่งชามข้าวคนอื่นเชียว”
ชูหลี่ถูกเขาบีบคางให้หันหน้ากลับไป เลือดฝาดสีแดงระเรื่อบนใบหน้ายังไม่จางหายไป เธอตอบกลับอย่างรวดเร็วจนลิ้นเกือบพันกัน
“…นิตยสารแสงแห่งจันทรานานๆ ทีก็สร้างกระแสวรรณกรรมแนวโบราณได้เหมือนกัน ตอนนี้เรายังยกระดับคุณภาพนักอ่านรวมถึงรสนิยมในภาพรวมของนิตยสารด้วย…”
“…”
เห็นทีคงจะคุยกันดีๆ ไม่ได้แล้ว
ช่างประจบประแจงซะจริง พออ้าปากก็พูดเป็นตุเป็นตะ พอลงมือก็เขียนเป็นเรื่องเป็นราว
ส่วนอาจารย์โจ้วกู้เซวียนเองแม้เกือบจะย่างเข้าห้าสิบแล้ว แต่ยังคงเสพสุขกับการที่มีเด็กสาวเทิดทูนบูชาเขา…เวลานี้ในดวงตาของเขาจึงระยิบระยับเต็มไปด้วยประกายแห่งความพอใจ ทำให้สายตาที่มองโจ้วชวนอบอุ่นขึ้นมาบ้างเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปี คงเพราะโจ้วชวนหาสะใภ้ที่ ‘เป็นแฟนคลับซึ่งคุณสมบัติเหมาะสมและมีรสนิยม’ มาให้เขา
หลังจากทุกคนเข้าประจำที่ อาหารขึ้นโต๊ะ กินไปพลางคุยไปพลาง…ดูเหมือนว่านิสัยชอบสร้างความสัมพันธ์ของชาวจีนส่วนใหญ่จะสำเร็จเสร็จสิ้นบนโต๊ะอาหาร หลังจากอาหารเรียกน้ำย่อยสามอย่างบวกกับซุปอีกหนึ่งอย่างขึ้นโต๊ะพร้อมแล้ว สถานการณ์อันเย็นชาในจินตนาการก็ไม่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
คุยกันตั้งแต่เรื่องสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยไปจนถึงหัวหน้า บ.ก. ใหญ่อย่างอาจารย์ซย่าที่เพิ่งเกษียณไป แม้แต่ประเด็นแย่ๆ อย่างคำพูดมุ่งร้ายที่คนจากฝ่ายการตลาดพวกนั้นจับกลุ่มพูดกัน อาจารย์โจ้วกู้เซวียนก็สามารถพูดคุยได้หมด…
และประเด็นสุดท้ายก็วนกลับมายังเรื่อง ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’
โจ้วกู้เซวียนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ดูออกเลยว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้มีการลดทอนและเติมแต่งที่พิถีพิถัน ฉันอ่านมาบ้างแล้ว ต่างกับหนังสือที่เสี่ยวชวนเขียนเมื่อก่อนมากทีเดียว…”
“นี่เป็นหนังสือเล่มแรกที่ฉันทำน่ะค่ะ แล้วก็เป็นหนังสือเล่มแรกที่อาจารย์โจ้วชวนตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยด้วย เพราะงั้นทุกคนเลยให้ความสำคัญมาก การตรวจเช็กก็ใช้เวลาไปประมาณหนึ่งสัปดาห์…บางครั้งเมื่อจำเป็นต้องตัดเนื้อหาในบทที่ไม่เหมาะจะตีพิมพ์ก็ยังเจอการต่อต้านของอาจารย์อีก”
โจ้วชวน “…”
โจ้วกู้เซวียนหันหน้ามาบ่นทันที “แกนี่ดื้อดึงจริงๆ เหมือนแม่แกนั่นแหละ”
คุณนายโจ้วเหลือบมองสามี แล้วปิดปากหัวเราะ “อุ๊ยตาย พูดไปเรื่อย”
“ฉันคิดว่าไม่เหมือนกันนะคะ คุณป้าเป็นคนสบายๆ แล้วก็ยิ้มสดใสมาก…ตอนที่ฉันรู้จักกับอาจารย์โจ้วชวนสามเดือนแรก เขามักจะปั้นหน้าเป็นน้ำแข็งสั่งให้ฉันทำโน่นทำนี่น่ะค่ะ”
โจ้วกู้เซวียนยังคงบ่นไม่หยุด “เติบโตมาในตระกูลผู้ดีมีการศึกษามาตั้งแต่เด็ก สั่งสอนเขาเรื่องคุณธรรมสี่ประการ* ผลลัพธ์คือเลี้ยงออกมาเป็นผู้ชายที่ทั้งดื้อรั้นและไม่รู้จักมารยาทอย่างนี้ น่าขายหน้าซะจริงๆ”
ชูหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขานิสัยดี เขาแค่เป็นคนปากแข็งใจอ่อน เพราะงั้นเลยไม่มีใครต่อล้อต่อเถียงกับเขาหรอกค่ะ”
คุณนายโจ้วพูดขึ้นมา “มีนะ สมัยเขา ม.ปลาย น่ะ คุณครูสอนภาษาเกลียดเขาจะตาย งานเลี้ยงขอบคุณคุณครูเนื่องในโอกาสเกษียณก็ไม่ยอมไป บัตรเชิญส่งมาถึงบ้านแล้วแท้ๆ ดันทิ้งลงถังขยะ…มนุษยสัมพันธ์และทักษะการเข้าสังคมไม่มีสักนิด ใครเตือนก็ไม่ฟัง ลูกชายฉันคนนี้น่ะ น่าเป็นห่วงจริงๆ เลย”