เมื่อส่งเด็กนักเรียนที่งอแงจะกลับบ้านไปเฝ้าทองคำแท่งแล้ว ชูหลี่กับเจียงอวี่เฉิงก็หาร้านอาหารนั่งคุยกัน
เจียงอวี่เฉิงสั่งกาแฟมาหนึ่งแก้ว ส่วนชูหลี่หยิบสัญญาตีพิมพ์ ‘สวนสนุกที่หายไป’ ส่งให้เขา หลังจากที่ชายหนุ่มหยิบมาเปิดอ่านดู เธอก็รู้สึกหวั่นใจไม่ใช่น้อย เพราะจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกเท่ากับ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ของโจ้วชวน แต่วันนั้น Mr. L เผลอพูดว่าสำนักพิมพ์ซินตุ้นเคยเสนอจำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกให้เจียงอวี่เฉิงถึงแสนกว่าเล่ม
เป็นไปตามที่คาดไว้ หลังจากที่อ่านเนื้อหาสำคัญในสัญญาจบลงอย่างรวดเร็ว เจียงอวี่เฉิงก็ปิดสัญญา ยกกาแฟตรงหน้าขึ้นดื่ม ริมฝีปากยกยิ้มบางพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผมคิดว่าคุณน่าจะเดาได้ว่าผมอยากจะพูดอะไร” ชูหลี่ขยับปาก แต่เจียงอวี่เฉิงกลับพูดขัดขึ้นมา “และผมก็เดาได้เหมือนกันว่าคุณอยากพูดอะไร…สำนักพิมพ์หยวนเยวี่ยมีกิจการยิ่งใหญ่ จำนวนตีพิมพ์ครั้งแรกไม่มากไม่เป็นไร ที่สำคัญคือพวกคุณขายได้ ขอแค่ขายได้ก็พิมพ์ต่อไปได้ แล้วก็ให้ค่าลิขสิทธิ์ที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของรายได้จากการพิมพ์จำหน่ายกับผม โจ้วชวนเองก็ถูกเกลี้ยกล่อมแบบนี้ใช่ไหม”
ชูหลี่ “…”
ดูท่าพ่อนักแสดงก็คงไปปรับทุกข์กับคนอื่นอยู่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจเซ็นสัญญาตีพิมพ์ฉบับนี้มากแค่ไหน
“พูดแบบนี้กับคนอย่างโจ้วชวนเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาน่ะนะ ศักดิ์ศรีค้ำคอ ทั้งยังอวดดีคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจ มั่นใจในตัวเองซะเกินเบอร์” เจียงอวี่เฉิงยิ้มเยาะ “ถ้าคุณถามเขาว่าสามารถขายได้มากเท่าไร เขาอาจจะบอกคุณว่าถึงคุณพิมพ์ครั้งแรกสามแสนเล่ม เขาก็ขายหมดได้ ที่ยอมเซ็นสัญญาตีพิมพ์ ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ให้คุณ ถ้าบอกว่าเขามั่นใจใน บ.ก. คนใหม่อย่างคุณ ควรบอกว่าเขามั่นใจในตัวเองจะดีกว่า” เขาพูดต่อไป “แต่ผมไม่เหมือนกัน นับตั้งแต่ ‘สวนสัตว์ที่หายไป’ เล่มแรกสร้างยอดขายเป็นประวัติการณ์ให้กับนักเขียนมือใหม่อย่างผม เล่มที่สอง เล่มที่สาม และทุกเล่มล้วนเป็นผลงานชิ้นโบแดงในสายตาทุกคน หนังสือถูกวางไว้บนตำแหน่งหนังสือขายดีในร้าน แต่ความจริงแล้วทุกเล่มกำลังดิ่งลงเหว” เจียงอวี่เฉิงมองตาชูหลี่ “จนกระทั่งตีพิมพ์นิยายครั้งที่แล้วก็ผ่านมาสองปี ยอดตีพิมพ์ครั้งแรกสองแสนเล่ม ตอนนี้ดูเหมือนว่ายังขายไม่หมด ยังค้างสต็อกอยู่เลย มหกรรมลดราคาวันคนโสด* มาถึงทีไร สำนักพิมพ์ก็ขายลดกระหน่ำราวกับกระโดดตึกทุกที เห็นแล้วผมปวดใจ…”
พอคิดว่าทุกปีเจียงอวี่เฉิงจะช่วยโพสต์โฆษณาขายหนังสือในมหกรรมลดราคาวันคนโสด ชูหลี่ก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ทุกครั้งที่พวกเขาขอให้ช่วยโพสต์โฆษณาเพื่อล้างสต็อกหนังสือในโรงพิมพ์ ผมก็ยิ้มและตอบตกลง มันเหมือนกับ…มีคนจะตบหน้าคุณ คุณไม่เต็มใจ แต่กลับต้องยื่นหน้าออกไปยังไงยังงั้น ช่วยไม่ได้ ใจอ่อนเองนี่นา ตีพิมพ์นิยายก็แค่ใช้เงิน จะสูงส่งไปกว่าคนงานแบกอิฐสักเท่าไรกันเชียว”
เสียงของเจียงอวี่เฉิงราบเรียบ มุมปากยิ้มอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนที่เขาพูดว่า ‘ลดกระหน่ำราวกับกระโดดตึกในมหกรรมลดราคาวันคนโสด’ ก็ถึงกับยิ้มเยาะออกมาพลางยกมือข้างหนึ่งลูบหน้า…
ลึกลงไปแล้วรอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มแห่งความเศร้า
การแสดงออกทางสีหน้าราวกับที่กระโดดตึกนั้นเป็นตัวเขาเอง ไม่ใช่หนังสือของเขา
…ราวกับหลายปีมานี้ที่เขาแบกชื่อเสียง ‘นักเขียนนิยายขายดี’ ไว้นั้น เขาต้องผ่าน พบเจอ หรือรับมือกับอะไรมาบ้าง คงมีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่รู้
“แต่ว่าผมเคยบอกแล้วว่าจะให้โอกาสคุณนะชูหลี่” ชายหนุ่มผู้อบอุ่นและสง่าวางมือลง เขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม “สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในมุมมืดมักจะถูกสิ่งมีชีวิตที่เติบโตภายใต้แสงสว่างดึงดูด โจ้วชวนเป็นอย่างนั้น ผมก็เหมือนกัน…” เขาโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับส่งสัญญาตรงหน้าคืนให้กับชูหลี่ “ดังนั้นผมจะยังไม่เซ็นสัญญาฉบับนี้กับคุณ แต่ผมยินดีจะให้โอกาสคุณครั้งหนึ่ง สิบห้าวันจากนี้หลัง ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ของโจ้วชวนวางจำหน่าย จงใช้ตัวเลขที่น่าพอใจมาโน้มน้าวให้ผมเซ็นสัญญา”
ชูหลี่ก้มมองสัญญาที่ถูกเลื่อนมาไว้ตรงหน้า…เห็นรอยจางๆ ของข้อต่อนิ้วมือที่ติดอยู่บนสัญญา เห็นได้ชัดว่านิ้วมือของเขาเรียวยาว
“ก่อนหน้าคุณสัญญาไว้ว่าจะไม่ให้นักเขียนตกเป็นเครื่องสังเวยให้กับความมีชื่อเสียงอีกต่อไปแล้ว…” เจียงอวี่เฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าอย่างนั้นทำให้ผมเห็นจิตวิญญาณในการเป็น บ.ก. ของคุณ ถ้าแม้แต่นักเขียนผู้โด่งดังอย่างโจ้วชวนคุณยังจัดการไม่ได้ ก็คงช่วยผมที่ใกล้เน่าอยู่ในโลงออกมาไม่ได้เหมือนกัน”
* มหกรรมลดราคาวันคนโสด (Double 11 Shopping Festival) จัดขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันคนโสดของทุกปี มีต้นกำเนิดจากแพลตฟอร์ม Tmall เมื่อปี พ.ศ. 2552 และกลายเป็นมหกรรมลดราคาสินค้าที่แพร่หลายไปทั่วโลกในเวลาต่อมา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.พ. 66 เวลา 12.00 น.