บทที่ 8
วันต่อมา
โจ้วชวนลืมตาตื่นขึ้นมาในเวลาแปดโมงเช้า
เขาอาบน้ำสระผมตอนเก้าโมงแล้วลองนั่งโพสท่าหน้ากระจก หันไปมาก่อนจะเหลือบมองเห็นตนเองในกระจกอย่างไม่ตั้งใจ จึงคว้าหวีลองทำทรงหน้าม้าแสกข้างอย่างจริงจังและขยับเช็กไปมาเล็กน้อย แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ากำลังทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง จึงโยนหวีออกไปด้วยความโกรธเคือง
ตอนสิบโมงครึ่ง เขานั่งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างผ่อนคลายและจามออกมา
สิบโมงสี่สิบห้า เขายืนขึ้นเหมือนกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะวิ่งไปทำกาแฟให้ตนเอง
เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นตอนสิบเอ็ดโมงตรง หางตาของเขากระตุก โจ้วชวนยืนขึ้นพร้อมกับถือถ้วยกาแฟ เมื่อเดินมาถึงหน้าเครื่องควบคุมการปิด-เปิดประตูตรงโถงทางเข้า เขาหยุดฝีเท้าที่ก้าวไวลงชั่วครู่ จากนั้นจึงเปิดประตูรั้วเหล็กด้านนอก…ถึงขั้นเปิดประตูเล็กด้านข้างประตูรั้วเหล็กเอาไว้ให้ด้วย แล้วมองดูเจ้าสุนัขอลาสกัน มาลามิวต์ด้วยสายตาที่เย็นชา มันส่ายหางแล้วมุดหัวอยู่ตรงซอกประตู ราวกับรีรอไม่ไหวที่จะเบียดตัวออกไปด้านนอก ไม่ต่างกับเจ้าปลาไหลอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เจ้าสุนัขก็กลับเข้ามาพร้อมกับคนคนหนึ่งที่ตามมาด้านหลัง…
เธอเปิดประตูอย่างเงียบๆ โจ้วชวนเบิกตาขึ้น นี่นับเป็นครั้งแรกในช่วงหลายวันมานี้ที่เขาตั้งใจมองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูอย่างจริงจัง ความสูงของเธอเลยไหล่ของโจ้วชวนไปเพียงเล็กน้อย หญิงสาวไว้ผมสั้น ดูสวยงามในแบบที่ยากจะหาเจอในหมู่ผู้คน และยังมีนัยน์ตาคู่หนึ่งของเธอที่ดำขลับแต่กลับเปล่งประกายสดใส ซึ่งเป็นอะไรที่หาดูได้ยากเช่นกัน ในเวลานี้เธอกอดสัญญาที่เขียนไว้ว่า ‘หนังสือเทพเจ้าแห่งแม่น้ำลั่ว’ ไว้ที่อกอย่างระแวดระวัง
…นี่คือผู้ดูแลระบบซื่อบื้อและหัวรั้นคนนั้น
…โจ้วชวนผู้คงมิตรภาพอันบริสุทธิ์เป็นระยะเวลาสามปีกับเธอ สวมเสื้อกั๊กที่ดูเหมาะเจาะกับเขา
เขานิ่งเงียบไป ก่อนเริ่มขยับริมฝีปากเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “โจ๊กล่ะ”
ชูหลี่ “?”
โจ้วชวนก้มหน้ามองกาแฟดำที่เพิ่งชงเสร็จในมือ ริมฝีปากของเขากระตุก “ช่างเถอะ”
ชูหลี่ “???”
“เข้ามาสิ”
โจ้วชวนหลีกทางให้เธอ เขายังคงมีใบหน้าบึ้งตึงไร้ชีวิตชีวาและมองมายังชูหลี่ด้วยสายตาที่เฉยเมย เธอมีท่าทีไม่สบายใจกว่าเดิม ก่อนจะก้มศีรษะและเข้ามาในบ้าน เปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะแล้วจึงนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางที่ดูเชื่อฟัง…แม้การกระทำทุกอย่างจะสิ้นสุดลง เธอก็ยังกอดแฟ้มเอกสารไว้อยู่ตลอดเวลา ราวกับว่ากำลังหวงแหนของล้ำค่าอะไรสักอย่าง จนกระทั่งโจ้วชวนพูดเตือนให้เธอวางแฟ้มเอกสารลง
ชูหลี่เงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าตะลึงงัน ราวกับไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้…ถ้าเมื่อครู่นี้โจ้วชวนไม่จ้องมองมา เธอก็เกือบจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อยืนยันว่าข้อความที่ได้รับเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ภาพลวงตาอันสวยงามที่เกิดขึ้นจากการที่เธอหมกมุ่นมากจนเกินไป
“คุณพูดว่าอะไรนะคะ”
“ผมบอกว่าวางแฟ้มเอกสารลง ฮัดเช้ย!”
“อาจารย์ยังไม่หายเป็นหวัดเหรอคะ”
“คุณซื้อยามาให้ผมแล้วเหรอ”
“หือ?”
“งั้นก็อย่าถาม”
…คนที่ท่าทางดูซื่อบื้อคนนี้คือคนเดียวกับที่ประกาศกร้าวว่าจะตั้งใจทำหนังสือชั้นดีวางขาย เพื่อที่จะได้ตีพิมพ์สองแสนเล่ม?
จะทำได้ไหมนะ
โจ้วชวนปวดหัวเมื่อรู้ว่าตนเอาคนขายฝันอย่างเธอมานั่งอยู่ในใจเสียแล้ว ช่างงี่เง่าเสียจริง เขาวางแก้วกาแฟลงพร้อมกับเอามือกุมขมับ ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาอีกตัว
“ถ้าคุณไม่วางมันลง ผมจะเซ็นสัญญาให้คุณได้ยังไง”
ชูหลี่กะพริบตาด้วยท่าทีเหมือนเคลิ้มฝัน…และไม่กี่วินาทีถัดมา นัยน์ตาสีดำนั้นก็เปล่งประกายราวกับว่าเพิ่งตื่นจากความฝัน
“คุณตกลงจะเซ็นสัญญาให้ฉันจริงๆ เหรอคะ”
“ใช่”
หลังจากเซ็นสัญญาเสร็จแล้วก็จะมาพูดคุยกันดีๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เคยบาดหมางกัน
“ทำไมเหรอคะ”
เพราะโชคไม่ดีที่หลักฐานต่างๆ ที่เคยทำไว้มันดันตกอยู่ในมือเธอ แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของฉันด้วย