วันนี้ทุกอย่างราบรื่นมาก ฉงหรงไม่ได้ไปสาย ถึงก่อนเวลาหลายนาทีด้วยซ้ำ แต่ทนายฝ่ายตรงข้ามมาสาย วันนี้ทั้งวันเธอจึงอมยิ้มดูผู้พิพากษาเล่นงานทนายฝ่ายตรงข้ามซึ่งหน้าดำคร่ำเครียด คำด่าไม่มีซ้ำอีกต่างหาก
เมื่อศาลเลิกแล้ว ฉงหรงยืนรอที่ประตูครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินเคียงไหล่กับผู้พิพากษาคนเมื่อครู่ออกไป “อาจารย์อา ทนายคนนั้นเค้าแค่มาสายห้านาทีเท่านั้น ต้องเล่นงานให้ถึงตายเลยหรือ”
“มาสายหนึ่งวินาทีก็ไม่ได้! ยังมีอีกนะ เห็นเอกสารที่เขาส่งขึ้นมาไหม พิมพ์เอียงซะขนาดนั้น! เขาไม่รู้ว่าผมเป็นโอซีดี ขั้นรุนแรงหรือไง อ่านแล้วพะอืดพะอม!”
ฉงหรงกุมหน้าผาก “ทีแรกว่าจะกินข้าวเที่ยงด้วย แต่ว่าเห็นอาการป่วยของคุณหนักกว่าเดิม คาดว่าการพูดจาท่าทางของหนูก็จะทำให้คุณพะอืดพะอม พวกเราต่างคนต่างกินดีกว่านะ!”
ท่านผู้พิพากษาพยักหน้า “ก็ดี ตอนเที่ยงมีนัดพอดี”
ฉงหรงยิ้มบอกลาอีกฝ่าย “เจอกันวันเปิดศาลครั้งหน้าก็แล้วกันค่ะ”
ผ่านไปอีกหลายวัน ช่วงหัวค่ำฉงหรงเลิกงานเพิ่งกลับถึงบ้าน ขณะยืนรอลิฟต์อยู่ชั้นล่างเธอก็เจอผู้ชายคนนั้นเป็นครั้งที่สาม
ลิฟต์ขึ้นๆ หยุดๆ ประตูลิฟต์เปิดๆ ปิดๆ คนเข้าๆ ออกๆ ฉงหรงจ้องตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เดาอยู่ในใจว่าผู้ชายคนนั้นพักอยู่ชั้นไหนกันแน่ แต่แล้วก็รู้สึกทันทีว่าตัวเองไร้สาระ
เมื่อเธอได้สติอีกครั้ง ในลิฟต์ก็เหลือเพียงเธอกับผู้ชายคนดังกล่าว ขณะที่ตัวเลขชั้นที่ยังติดสว่างอยู่ก็คือชั้นห้องของเธอเพียงดวงเดียว ชุมชนคอนโดมิเนียมแห่งนี้แต่ละชั้นเหมือนกันทั้งหมดคือมีเพียงสองห้อง หรือว่า…
ประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง ฉงหรงเดินออกไปก่อน เธอหยิบลูกกุญแจออกมาเปิดประตูพร้อมกับสังเกตผู้ชายที่ด้านหลังไปด้วย เขาเดินไปยังประตูฝั่งตรงข้ามจริงๆ ฉงหรงเปิดประตูแล้วจึงหันกลับไปมองอีกแวบก่อนจะปิดประตู ครั้งนี้เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขา เธอแอบพยักหน้าเงียบๆ อยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้รับสมญานาม ‘นุ่มนวลปานหยก’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
ถัดไปอีกหนึ่งวัน ตอนสามทุ่ม ฉงหรงอ่านเอกสารจนเวียนหัว จึงสวมเสื้อคลุมออกจากบ้านไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อขนม
ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ซูเปอร์มาร์เก็ตถึงมีคนเยอะเป็นพิเศษ ตอนที่ฉงหรงเข้าคิวรอจ่ายเงิน ในสมองยังมีภาพเอกสารเมื่อครู่ จนกระทั่งพนักงานเก็บเงินดูจำนวนเงินที่หน้าจอแล้วเตือนเธอว่า “สามสิบเก้าหยวนหนึ่งเหมา”
ฉงหรงล้วงธนบัตรใบละห้าสิบหยวนออกจากกระเป๋าส่งให้ พนักงานเก็บเงินถามตามที่ได้ฝึกมา “มีหนึ่งเหมาไหม”
ฉงหรงส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ”
ทันใดนั้นด้านหลังก็มีมือข้างหนึ่งยื่นเหรียญหนึ่งเหมาออกมาวางบนเคาน์เตอร์เก็บเงิน
ฉงหรงก้มหน้ามองมือข้างนั้นชั่วแวบหนึ่ง รู้สึกคุ้นตามาก หญิงสาวหันกลับไปมองเจ้าของมือ เอ๊ะ คุ้นตาจริงๆ
เธอพยักหน้าเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณค่ะ”
คนที่ด้านหลังพูดอย่างเนิบนาบไม่ช้าไม่เร็ว “ไม่เป็นไร”
ฉงหรงหิ้วโยเกิร์ตหลายกล่องออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็เห็นซามอยด์ตัวนั้นหมอบอยู่ที่ประตูจริงๆ มันหมอบนิ่งอย่างว่านอนสอนง่ายรอเจ้าของ ขนของมันสีขาวราวหิมะ ทำหน้าคล้ายกำลังยิ้ม มีเด็กสองคนกำลังล้อมดูอยู่
เด็กสองคนที่หุ้มตัวจนเหมือนบ๊ะจ่างสองลูกหน้าตาอยากรู้อยากเห็น ยื่นมือออกไปลูบขนซามอยด์อย่างระมัดระวังแล้วดีใจหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เสียงหัวเราะดังไปไกลมาก
ฉงหรงยิ้มพลางเดินมุ่งหน้ากลับบ้าน เป็นเด็กนี่ดีจริงๆ มีความสุขได้ง่ายๆ