“นั่นสิ ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นแกก็หยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย” มัชฌิมาจิบน้ำชาในถ้วยกระเบื้อง
“พวกแก ฉันอยากเลิกจริงๆ อยากหยุดเรื่องพวกนี้ด้วย ไม่อยากพบคุณภิมุขแล้ว นะ เลิกเหอะนะ”
“เอาน่ายายแอ๊นท์ อีกนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว เพราะจากสภาพการณ์ที่เห็น ฉันว่าภายในอาทิตย์นี้นี่แหละที่ปลาจะกินเหยื่อ” จีรดาโน้มน้าว “เอ้า…นี่ตัดใจเลยนะ เค้กชาเขียวชิ้นนี้ฉันยกให้แกเลย”
พูดจบเพื่อนของเธอก็เลื่อนเค้กมาวางตรงหน้าอาริสาที่นั่งหน้าจ๋อย
“เห็นมั้ยว่ายายจิ๊บมันทุ่มทุนสร้างขนาดไหน เค้กชาเขียวของโปรดมันเลยนะแก เพื่อนต้องช่วยเพื่อน แล้วแกจะมาโยนทิ้งกันได้ยังไง จริงไหมยายแอ๊นท์”
จู่ๆ อาริสาก็คิดขึ้นมา หากว่าเธอสารภาพว่าเริ่มหวั่นไหวกับนายภิมุขล่ะ เพื่อนของเธอจะยอมให้เธอหยุดปฏิบัติการรักครั้งนี้ไหม
“มีอะไรหรือเปล่า ท่าทางเหมือนแกอยากจะพูดอะไร แต่บอกก่อนนะ ห้ามพูดเรื่องเลิกทำงานนี้ หัวข้อนี้ยุติลงแล้ว”
โดนจีรดาดักคอแบบนี้ อาริสาก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่มี ไม่มีอะไร”
ความล้มเหลวจากการเสนอแผนยกเลิกปฏิบัติการพิเศษในที่ประชุมโต๊ะกลมเมื่อวานนี้ทำเอาเธอนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน หญิงสาวสะลึมสะลือลุกจากที่นอน เมื่อคืนนี้กว่าจะข่มตาหลับได้ก็เกือบตีสาม
“ตายล่ะ! ขอบตาเป็นแพนด้าหนักเลย” เธอร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเงาสะท้อนของตนเองจากกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แถมน้ำในผิวเธอก็ดูแห้งๆ คงเพราะความเครียดแหงๆ
“รักเพื่อน แต่กำลังจะซวยเพราะเพื่อนแล้วนะยายแอ๊นท์เอ๊ย”
ก็ได้แต่บ่นเท่านั้น เธอขัดเพื่อนเป็นซะที่ไหน เพราะแบบนี้แหละพอแต่งตัวเสร็จเช้าวันนี้อาริสาก็เลยได้แต่ต้องลงคอนซีลเลอร์มากกว่าปกติ
ในตอนที่แต่งหน้าเสร็จ เสียงกริ่งหน้าบ้านที่ไม่เคยดังเลยนับตั้งแต่ปกรณ์ไปอังกฤษก็ดังขึ้น หัวคิ้วเรียวสวยของเธอขมวดมุ่น อาริสารอให้สาวใช้ของเธอออกไปต้อนรับ ร่างบางสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องสำอางบนใบหน้าก่อนจะเปิดประตูห้องนอน
“ฝน ใครมาน่ะ”
ตอนที่เธอถาม เสียงกริ่งหน้าบ้านก็ดังอีกรอบ