ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 55-56 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 55-56 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3

ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาครอบครัว

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การลักพาตัว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด การติดสารเสพติด และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

 

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 55

 

ในขณะที่บรรยากาศกำลังคุกรุ่น ชายหน้าบากพลันยิ้ม ทุกมิลลิเมตรของรอยยิ้มเขาล้วนประกอบไปด้วยเจตนาร้าย

เขาโบกสะบัดมือทั้งสอง ทำท่าประสานมุทรา** อย่างรวดเร็ว มือที่ประสานถูกผลักออกไป แล้วฉยงเหรินก็ได้ยินเสียงวิ้งๆ เบาๆ เงาร่างของชายหน้าบากสั่นไหว

“ขออนุญาตรับชมเรื่องน่าสนุกอยู่ตรงนี้” ชายหน้าบากพูดเสียงเนิบช้า “แน่นอน ถึงแกไม่อนุญาตฉันก็จะคอยชมใบหน้าเจ็บปวดรวดร้าวเจียนตายของแกอยู่ตรงนี้”

ฉยงเหรินขมวดคิ้วเบาๆ กล่าวตามหลักแล้วชายหน้าบากก็คือคนที่ใช้อาคมพลิกดวงชะตาทำร้ายเขา โจวมี่ และอ้ายอินเยวี่ย แต่ดูจากการแสดงออกตรงหน้านี้แล้ว ชายหน้าบากคล้ายจะไม่รู้จักเขา

ไม่อย่างนั้นหากดูตามบุคลิกที่คนคนนี้เผยออกมา เขาไม่น่าจะจงใจปิดบังต่อหน้าเหยื่อของตัวเอง เพราะดูยังไงอีกฝ่ายก็เป็นพวกเฮงซวยที่ฉยงเหรินรังเกียจที่สุด ไม่เพียงแต่มีความสุขกับความเจ็บปวดของคนอื่น แต่ยังพูดล้อเลียนคนอื่นด้วยท่าทีสูงส่งที่แสนจะน่าสะอิดสะเอียนนั่นอีก

คนชุดดำคนหนึ่งวางท่าใหญ่โตเดินเข้ามา เขาสวมหมวกทรงสูง มีตัวอักษรใหญ่ๆ สี่ตัวเขียนว่า ‘ใต้หล้าสันติสุข’

ผู้ที่ปรากฏตัวก็คือยมทูตดำ

ยมทูตดำตนนี้ตั้งใจทำงานสุดๆ เขาเมินกองฝุ่นกองเถ้าที่หกกระจัดกระจายเต็มพื้น มุ่งตรงเข้าไปหาวีลแชร์ ถือโซ่ตรวนแล้วคล้องไว้ที่คอของคนบนวีลแชร์ วิญญาณของเฉินรุ่ยเจ๋อถูกดึงออกจากร่าง คนบนวีลแชร์สิ้นชีวิตทันที

เฉินรุ่ยเจ๋อที่ถูกโซ่ของยมทูตดำคล้องกักขังทั้งตกใจทั้งตื่นกลัว ไม่รู้เพราะได้รับอิทธิพลจากร่างกายนี้หรือเปล่า เขาถึงพูดไม่ได้ไปขณะหนึ่ง ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปหาฉยงเหริน

ชายหน้าบากเห็นเฉินรุ่ยเจ๋อถูกคุมวิญญาณไปแล้ว แววตาของเขาก็ส่องประกายความเลวบริสุทธิ์ออกมา เขาหัวเราะอย่างมีความสุขพลางกล่าว “คนที่แกจะช่วยอีกไม่นานก็ต้องลงนรกแล้ว อ้อ ไม่ต้องแปลกใจหรอกนะ ยมทูตมองไม่เห็นฉันหรอก ถึงแกจะบอกเขาว่ายังมีคนอยู่ที่นี่อีกหนึ่งคน เขาก็จะคิดว่าสมองแกมีปัญหา”

ที่แท้การประสานมุทราของชายหน้าบากเมื่อกี้ก็ทำเพื่อล่องหนจากสายตายมทูต ฉยงเหรินชำเลืองมองชายหน้าบาก ใบหน้าไร้ซึ่งความตื่นตระหนก จากนั้นจึงหันไปพูด “คุณสหายยมทูตครับ คุณพาวิญญาณไปผิดดวงแล้ว”

ชายหน้าบากชมเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาเย็นชา ความใจเย็นของฉยงเหรินทำให้เขาไม่สบอารมณ์นัก เขาเอ่ยพร้อมแค่นหัวเราะ “ยมทูตเนี่ยนะ จะฟังคำของคนเป็นอย่างแก น่าขำ”

แต่สิ่งที่ทำให้ชายหน้าบากคาดคิดไม่ถึงคือเมื่อยมทูตดำหันมาเห็นว่าคนที่เรียกตนเป็นใคร ใบหน้าก็เผยแววตกตะลึงระคนดีใจทันที “ฉยงเหริน? คุณคือฉยงเหรินจริงเหรอ พระเจ้า ไม่นึกว่าฉันจะได้เจอคุณที่นี่ โชคดีเกินไปแล้ว! ขอลายเซ็นคุณหน่อยได้ไหม”

ชายหน้าบาก “…”

ในฐานะที่เขาไม่มีเวยป๋อ ไม่สนใจวงการบันเทิง มุ่งมั่นตั้งใจแต่การเป็นตัวร้าย เรียกได้ว่าเป็นเหล้าจินแบบจีน เขาไม่รู้จักไอดอลคนไหนทั้งสิ้น ไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าท่าทางโอเวอร์แอ็กติ้งของยมทูตดำเกิดจากอะไร

ความรู้สึกอันหนักแน่นของเขาเหมือนอย่างประโยคที่ว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ เขาไม่เข้าใจอะไรแล้ว’

ฉยงเหริน “ได้สิครับ แต่ว่าวิญญาณของเพื่อนผมถูกจับยัดใส่ร่างกายนี้ เขาไม่ใช่ผู้ตาย คุณตรวจสอบใบแจ้งส่งวิญญาณสักหน่อยเถอะ”

ยมทูตดำได้ยินคำของฉยงเหรินก็ตรวจสอบใบแจ้งส่งตัววิญญาณอย่างขมีขมันทันที

“ชื่อ เฉินรุ่ยเจ๋อ ชาตะเมื่อ xx มรณะเมื่อ xx ปาจื้อก็ตรงกันนี่นา”

ตอนนี้ชายหน้าบากช็อกของจริง

เนิ่นนานหลายต่อหลายปีก่อนเขาเองก็เคยติดต่อพูดคุยกับยมทูต รู้ซึ้งดีว่าอะไรเรียกว่าพญายมราชคุยง่าย ผีผู้น้อยเซ้าซี้* หรือว่าสายลมวสันต์ของการปฏิรูปจะพัดโชยไปถึงยมโลกแล้ว ทำไมยมทูตพวกนี้ถึงได้ทำตัวดีขนาดนี้ล่ะ

แต่เช็กใบแจ้งส่งวิญญาณแล้วยังไง

ใบหน้าของชายหน้าบากปรากฏรอยยิ้มร้ายพรายเสน่ห์ของตัวร้ายออกมา

เขาจริงจังกับการทำใบแจ้งนี่มาก บนใบแจ้งส่งตัววิญญาณปราศจากลักษณะเด่นใดๆ ที่แตกต่างไปจากเดิม ชื่อ ปาจื้อ และสถานที่ก็ตรงกับเจ้าตัวหมด ยมทูตไม่มีทางมองออกหรอกว่าใครเป็นใคร

แต่ยมทูตดำกลับพูดต่อว่า “ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางโกหกแน่นอน ฉันจะให้เพื่อนร่วมงานส่งข้อมูลโดยละเอียดของเขามาให้”

ชายหน้าบากทนฟังต่อไปไม่ไหว พูดแทรกอย่างอดไม่ได้ “รู้ได้ไงว่ามันไม่โกหก มันเป็นใคร เดี๋ยวนี้พวกยมทูตเชื่อคนเป็นง่ายขนาดนี้เลยเหรอ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ยมทูตอย่างคุณไม่มีศักดิ์ศรีวิญญาณเจ้าพนักงานของยมโลกหลงเหลืออยู่สักนิดเลยเหรอ ทำไมถึงเชื่อฟังคนเป็นคนหนึ่งขนาดนี้”

พูดจบชายหน้าบากก็ต้องนึกเสียใจ ยมทูตดำไม่ได้ยินคำพูดของเขา จะพูดพล่ามไปทำไม

เขาเป็นถึงตัวร้ายที่ลึกลับยากจะคาดเดา โปรดปรานความสุขจากการได้เห็นคนอื่นเจ็บปวดนะ จะเผลอเผยท่าทางตกตะลึงออกไปง่ายๆ ได้ยังไง

ชายหน้าบากพยายามข่มใจให้สงบ แล้วยิ้มบางๆ

ยมทูตดำควักมือถือออกมาโทร “ท่านเจ้าหลักเมืองครับ เมื่อกี้ผมยื่นเรื่องขอตรวจสอบข้อมูลผู้ตายหมายเลข 2332333 โดยละเอียดบนแอพฯ บัญชีเป็นตายไป โปรดกดอนุญาตให้ผมด้วยนะครับ ขอบพระคุณท่านเจ้าหลักเมืองมากครับ”

ชายหน้าบากรักษารอยยิ้มไม่อยู่อีกต่อไป รูม่านตาเขาสั่นประดุจแผ่นดินไหว เดี๋ยวนี้ยมโลกใช้มือถือค้นบัญชีเป็นตายได้แล้วเหรอ

เป็นแบบนี้ได้ยังไง เทพพวกนั้นจนตอนนี้จะส่งข่าวสารก็ยังใช้ไฟเผาส่งจดหมาย หรือไม่ก็ให้กุมารหรือทหารใต้บังคับบัญชาส่งจดหมายให้อยู่เลย ขนาดเทพก็ยังทำแบบนี้ ทำไมยมโลกถึงมาใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีสารสนเทศแล้วล่ะ

เขายังคิดว่าแค่เขาสั่งของในเถาป่าวได้ก็เจ๋งมากแล้ว ไม่คิดเลยว่ายมโลกจะทันสมัยขนาดนี้

เพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นมือถือของยมทูตดำก็ได้รับข้อมูลทั้งหมดของผู้ตาย ยมทูตดำเปรียบเทียบรูปของผู้ตายกับเฉินรุ่ยเจ๋ออย่างมุ่งมั่นหลายรอบ ก่อนเอ่ยยืนยัน “ผู้ตายเฉินรุ่ยเจ๋อ ชื่อเดิมเฉิงรุ่ยเจ๋อ เขาเปลี่ยนชื่อเมื่อหนึ่งปีก่อน คุณไม่ใช่คนเดียวกับผู้ตายจริงๆ”

เฉินรุ่ยเจ๋อได้ยินคำพูดนี้น้ำตาก็ไหลพรากทันที ตอนเขายังเด็กเขาโด่งดังด้วยฉากร้องไห้ที่ดูดีแถมยังจับใจคนดู ทว่าตอนนี้กลับร้องไห้หน้ายับยู่ยี่จนไม่เหลือภาพลักษณ์แล้ว

ฉยงเหรินเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน “โอเคแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ตอนนี้ยมโลกมีเหตุผลมากเลยนะครับ จะไม่มีการส่งตัวคนตายผิดพลาดแน่นอน แต่ถึงจะผิด ตราบใดที่คุณขอโต้แย้งข้อกล่าวหา พวกเขาก็จะตรวจสอบความจริงอย่างเต็มที่ ไม่เป็นไรแล้วครับ”

ตั้งแต่ต้นจนจบฉยงเหรินไม่ได้หันไปสนใจชายหน้าบากเลย แต่อีกฝ่ายก็ยังคงแสดงบทบาทอย่างมีพลัง “แกก็เป็นแค่คนธรรมดาตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะไปรู้จักนรกดีได้ยังไง”

เขาไม่ได้สังเกตว่าเมื่อเขาพูดประโยคนั้นออกไปท่าทางของยมทูตดำก็นิ่งไปแปลกๆ

ทันทีที่ยมทูตดำปลดตรวนออกเฉินรุ่ยเจ๋อก็ได้ยินเสียงจางเฮ่ากำลังเรียกชื่อของเขา เสียงนี้ลอยมาจากที่ที่ไกลแสนไกล แม้จะแผ่วเบา ทว่ากลับดังลอดเข้ามาในหูของเขาอยู่ตลอด

กลางอากาศคล้ายมีเชือกแสงเส้นหนึ่งปรากฏรางๆ เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงตัวไป เพียงแต่ครั้งนี้เขารู้ได้อย่างชัดเจนว่าที่มาของแรงดึงรั้งนั้นมาจากร่างกายของเขาเอง

ยมทูตดำแค่มองก็รู้ได้ว่ามีคนกำลังทำพิธีเรียกวิญญาณอยู่ “รีบไปเถอะ เดินตรงไปตามเสียงเลย”

เฉินรุ่ยเจ๋อโค้งคำนับให้ยมทูตดำซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้งอย่างระริกระรี้ “กลับไปแล้วผมจะเผากระดาษเงินกระดาษทองแล้วก็เขียนจดหมายขอบคุณให้คุณนะ”

ยมทูตดำเกาหัวแกรกๆ “ไม่ต้องหรอกครับ” เขาเดินไปข้างๆ เฉินรุ่ยเจ๋อ แล้วกระซิบ “ถ้าหากสะดวก ช่วยหากู๊ดส์ของฉยงเหรินมาให้ผมเยอะๆ หน่อยได้ไหม ขอบคุณมากครับ ผมชื่อเมิ่งเซิน ส่วนเบอร์ก็ขอจากฉยงเหรินได้เลยครับ”

แน่นอนว่าเฉินรุ่ยเจ๋อย่อมรับปากในทันที

วิญญาณของเขาถูกเสียงของจางเฮ่าเหนี่ยวรั้ง ภาพโดยรอบถอยห่างออกไปด้วยความรวดเร็ว ไม่นานก็กลับมายังกองถ่ายทำ ‘พัดดอกท้อ’ จางเฮ่าคอยเรียกชื่อของเขาอยู่ตลอด รอบๆ มีวงแหวนค่ายกลถูกวาดขึ้นโดยชาด ผู้ช่วยของฉยงเหรินกำลังเผาสาส์นท่องคาถา

“ขอพลังแห่งองค์เทพคุ้มครอง ปกป้องรักษากายข้า ขจัดแหล่งพลังชั่วร้าย เปิดทางสว่างแห่งความถูกต้อง”

แล้วจางเฮ่าก็ตะโกนร้อง “เฉินรุ่ยเจ๋อกลับมา…”

เสียงนั้นดึงรั้งเฉินรุ่ยเจ๋อไว้ แล้ววิญญาณเขาก็กลับเข้าสู่ร่างกาย เฉินรุ่ยเจ๋อค่อยๆ ลืมตาขึ้น จางเฮ่าดีใจทันที “ตื่นแล้ว เขาตื่นแล้ว! เรียกวิญญาณกลับมาได้แล้ว”

เขาตะโกนอยู่ครึ่งค่อนวัน คอแห้งไปหมด เมื่อเห็นเฉินรุ่ยเจ๋อได้สติก็กลั้นน้ำตาไม่ไหวทันที หยาดน้ำตาหยดแหมะๆ ลงบนใบหน้าของเฉินรุ่ยเจ๋อ

เฉินรุ่ยเจ๋อยกมือขึ้นเช็ดด้วยความรังเกียจ พูดด้วยเสียงไร้เรี่ยวแรง “เลิกหอนได้แล้ว หาอะไรมาให้กินก่อนได้ไหม ฉันมึนหัวนิดหน่อย”

ทีมงานที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ประจักษ์พิธีเรียกวิญญาณ จิตใจทุกคนล้วนสั่นคลอน รู้แค่ว่าฟ้าดินมีเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่จริงๆ

เมิ่งชิงเสวียนเห็นเฉินรุ่ยเจ๋อตื่นขึ้นก็ร้อนใจจนเกือบลืมส่งเทพ เขาข่มใจประกอบพิธีให้เสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยจับตัวเฉินรุ่ยเจ๋อที่กำลังดื่มชานมแล้วเอ่ยถาม “อาจารย์ฉยงเป็นยังไงบ้างครับ”

ร่างกายนั้นหูหนวกสายตาฝ้าฟาง เฉินรุ่ยเจ๋อที่ถูกขังอยู่ในร่างนั้นไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หลังจากถูกยมทูตล่ามตรวนไป เขาที่อยู่ในสถานะวิญญาณก็มองไม่เห็นชายหน้าบากอีก จำได้แค่ว่ายมทูตดำพูดขอกู๊ดส์ของฉยงเหรินกับเขา

“วางใจเถอะ ฉยงเหรินเก่งกาจมาก อาชีพไอดอลของเขาพัฒนาไปยันยมโลกแล้ว ยมทูตตนนั้นยังมาขอให้ฉันส่งกู๊ดส์ของเขาให้ด้วยแน่ะ”

เฉินรุ่ยเจ๋อตื่นเต้นไปหน่อยจนลืมลดเสียงพูดลง มีคนไม่น้อยที่ได้ยินคำพูดของเขา

หางของเมิ่งชิงเสวียนส่ายจนแทบบินขึ้นฟ้าได้ เชิดหน้ากล่าวอย่างได้ใจ “แน่นอน อาจารย์ฉยงของพวกเราเก่งกาจขนาดนี้ ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เขายัง…”

เมิ่งชิงเสวียนกระแอมสองที เขาไม่มีทางเอาเรื่องที่อาจารย์ฉยงรู้จักมักจี่กับท่านพญายมมาพูดมั่วซั่วไปทั่วแน่นอน

 

กลับมาที่ฝั่งคฤหาสน์บนเนินเขา

ชายหน้าบากเห็นเฉินรุ่ยเจ๋อลอยออกไปนอกหน้าต่าง แต่ใบหน้ากลับยังคงยิ้ม เขาปรบมืออย่างเชื่องช้า “ไม่เลวๆ ไม่นึกว่าแกจะช่วยเขาได้ด้วย ฉันก็ต้องขอบใจแกเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะแก ฉันคงไม่รู้ว่าสมัยนี้ยมโลกเขาทำงานกันแบบนี้ แต่ว่าแกนี่เก็บอารมณ์เก่งจริงๆ เลยนะ ไม่นึกว่าจะไม่บอกเรื่องฉันกับยมทูตเลย น่าเสียดายจริงๆ ฉันนึกว่าจะได้เห็นแกถูกยมทูตหาว่าเป็นบ้าซะแล้ว”

เมิ่งเซินพันโซ่ตรวนไว้รอบเอว หันหน้าไปมองทางชายหน้าบาก หน้าตาเหลืออด “พอเหอะ พูดพล่ามอะไรอยู่นั่น น่ารำคาญชะมัดยาด”

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหน้าบากแข็งทื่อ “คุณเป็นวิญญาณ มองเห็นฉันได้ยังไง”

นี่เขาประสานมุทราให้วิญญาณมองไม่เห็นตัวตนของเขาแล้วนะ

เมิ่งเซินมองบนจนตาดำแทบจะพลิกไปอยู่อีกฝั่ง ไม่พูดคำใดสักคำ เพียงใช้สีหน้าที่แฝงไปด้วยคำว่า ‘ไอ้บ้านนอกนี่มาจากไหนเนี่ย’ มองเขา

ชายหน้าบากสัมผัสได้ถึงความดูหมิ่นอย่างลึกซึ้ง

เขารู้สึกแตกสลายเล็กน้อย

ไม่ควรเป็นแบบนี้สิ เขาปลูกฝังภาพลักษณ์ของตัวร้ายมาตั้งหลายปี จนฝึกฝนเทคนิคการหลอกลวงเชิงลึกออกมาได้จากจิตใต้สำนึกเลยนะ ถึงหน้าจะเต็มไปด้วยแผลเป็น แต่เขาก็สามารถอาศัยออร่ากดให้คนอื่นยอมจำนนได้ วันนี้นักพรตน้อยคนนั้นก็ยังเหม่อมองเขาอยู่เลยไม่ใช่เหรอ

เขาตั้งใจสร้างภาพลักษณ์มาตั้งหลายปี แต่วันนี้กลับเป็นอย่างสงครามวอเตอร์ลู* แบบสาหัส ไม่ว่าฉยงเหรินหรือว่ายมทูตตนนี้ก็ไม่มีใครจริงจังกับเขาเลย

ทำไมถึงเป็นแบบนี้

ฉยงเหรินหันไปมองเขา ยกมือขึ้นชี้อย่างไม่ใส่ใจ “นี่แหละชายหน้าบากในประกาศจับ เขานี่แหละที่เอาวิญญาณของเฉินรุ่ยเจ๋อมาใส่ในร่างของผู้ตายคนนั้น”

เมิ่งเซินตกตะลึง “เขาเหรอ”

ความตกตะลึงของเมิ่งเซินทำให้ชายหน้าบากรู้สึกปลื้มปริ่มกลางใจเบาๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะพูดว่า ‘ใช่แล้ว ฉันเอง’ แต่แล้วเมิ่งเซินก็เผยสีหน้ารังเกียจออกมาทันใด

“นึกว่าจะเป็นบุคคลแสนร้ายกาจซะอีก ไม่คิดเลยว่าขนาดนายเขาก็ยังไม่รู้จัก แสดงว่าต้องตามอะไรชาวบ้านเขาไม่ทันเลยสินะ นักพรตเต๋าเมืองหลงเฉิงแพ้ให้คนแบบนี้ซะได้ น่าผิดหวังจริงๆ”

เหตุและผลของประโยคนั้นมีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า นักพรตเมืองหลงเฉิงหาตัวเขาไม่เจอ ไม่ได้แปลว่าเป็นเพราะเขาเก่งกาจสามารถเหรอ ทำไมยมทูตตนนี้ถึงได้สรุปความว่าเป็นเพราะพวกนักพรตไม่เก่งล่ะ!

มิหนำซ้ำไอ้หนุ่มหน้าขาวที่หน้าตาดีใช้ได้นี่เป็นบุคคลสำคัญอะไรหรือยังไง ทำไมเขาต้องรู้จักมันด้วย

ชายหน้าบากที่จิตใจแหลกสลายแค่นยิ้มบนใบหน้าอีกครั้ง “ขยะไร้ค่าพวกนั้นใช้เวลาตั้งนานยังจับฉันไม่ได้ แล้วยมทูตตัวน้อยๆ อย่างแกจะทำอะไรฉันได้เหรอ หรือพวกโง่เง่าอย่างพวกแกไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าวิญญาณของผู้ตายหายไปแล้ว” เขายิ้มเหี้ยมเกรียม “แต่ถึงแกรู้ตอนนี้…”

ฉยงเหรินพูดขัดจังหวะด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณอยากพูดว่าถึงรู้ก็สายไปแล้วใช่ไหมล่ะ ดูให้ดีๆ ว่าในห้องนี้มีกี่คนกันแน่”

ชายหน้าบากถึงเพิ่งรู้ตัวว่านักพรตน้อยที่ไม่ค่อยมีตัวตนคนนั้นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

เขารู้สึกถึงลางไม่ดีในใจ แล้วก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากชั้นบน

หวังป๋อตวนเปิดหน้าต่างชั้นบนแล้วชะโงกหน้าออกมาตะโกน “อาจารย์ฉยง วิญญาณของผู้ตายถูกขังอยู่ในไหวิญญาณครับ ผมเจอแล้ว”

“ไหวิญญาณ?” เมิ่งเซินมุ่นคิ้ว “แกอยากได้วิญญาณของผู้ตายคนนี้งั้นเหรอ”

ว่ากันตามปกติแล้วไหวิญญาณก็คือไหกู่ชาง เป็นภาชนะฝังร่วมกับคนตาย ในนั้นจะบรรจุเบญจธัญญาหาร* เพื่อให้ผู้ตายนำธัญญาหารไปยังยมโลกด้วย เป็นการรับรองว่าเขาจะมีอาหารให้กินไร้เรื่องทุกข์ยาก

แต่มันต่างจากไหวิญญาณที่นักพรตเต๋าอย่างพวกเขาพูดถึงกัน ความหมายก็เป็นอย่างที่ชื่อของมันสื่อ มันก็คือไหที่นำมาใช้กักเก็บวิญญาณ แล้วก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่คิดนำมาใช้ด้วยเช่นกัน

ตอนที่ฉยงเหรินแน่ใจว่าวิญญาณของเฉินรุ่ยเจ๋อเข้าไปอยู่ในร่างของผู้ป่วย แต่เมิ่งชิงเสวียนยังไม่ส่งข้อความมายืนยันว่าเฉินรุ่ยเจ๋อตื่นแล้ว ฉยงเหรินก็ตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่การสลับวิญญาณตัวตายตัวแทนธรรมดา

วิญญาณเจ้าของร่างผู้ป่วยเป็นไปได้สูงว่าจะถูกชายหน้าบากเอาไปแล้ว

ในที่สุดตอนนี้ชายหน้าบากก็มองออกว่ายมทูตกับฉยงเหรินรู้จักกันมานานแล้ว การกระทำเมื่อกี้เป็นเพียงการแสดงหลอกเขา

ในเมื่อเป็นการแสดง ก็แน่นอนว่าต้องแฝงจุดประสงค์ด้วย

เขาหัวเราะเหอะ กำลังจะบอกว่าตนมองจุดประสงค์ของพวกเขาออกทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็มีก้อนกลมๆ อ้วนปุ๊กลุกขนฟูฟ่องก้อนใหญ่พุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง

สยงเหมียวกลิ้งกับพื้นหนึ่งตลบ แล้วชูปืนบรรจุกระสุนยางจ่อหน้าเขา “อย่าขยับ คุณถูกกองตรวจการพิเศษล้อมไว้หมดแล้ว”

ชายอายุราวสามสิบกว่าปีคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตู ในมือก็ถือปืนบรรจุกระสุนยางเช่นเดียวกัน “คุณต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับคดีอาคมพลิกดวงชะตาหลายคดี เราจะพาตัวคุณกลับไปไต่สวนที่กองตรวจการพิเศษ คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะเงียบ”

ชายหนุ่มท่องถึงตรงนี้ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้าอธิบายยากออกมา แต่เขาก็ยังคงพูดต่อ “หากคุณไม่พูด เราจะป้อนยาสารภาพความจริงให้คุณ”

หลังเขาท่องจบสยงเหมียวก็ยกอุ้งมือหมีขึ้นปรบมือเบาๆ “ท่านอาจารย์ ทุกครั้งที่พูดประโยคนี้ฉันก็รู้สึกว่าอาจารย์หล่อมากๆ เลยค่ะ”

ผู้ชายคนนี้คือหยางอ้ายกั๋ว เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในกองตรวจการพิเศษ แล้วถูกสยงเหมียวยกย่องเป็นอาจารย์อยู่ฝ่ายเดียว

ใบหน้าหยางอ้ายกั๋วปรากฏความอับอาย เขาได้แต่หวังว่ากองตรวจการพิเศษจะเปลี่ยนบทพูดพวกนี้ให้เร็วที่สุด อย่างน้อยก็ขอให้ดีกว่าบทพูดตอนนี้หน่อยเถอะ

ฉยงเหรินยึดถือมาโดยตลอดว่าหากลำบากให้มองหาตำรวจ หลังจากเกิดเรื่องกับเฉินรุ่ยเจ๋อเขาก็ทำการแจ้งความกับกองตรวจการพิเศษทันที

ประจวบกับที่ตอนนั้นกองตรวจการพิเศษก็ค้นพบว่าตำแหน่งปัจจุบันของคนคนนั้นอยู่ที่เขตตะวันออกของเมืองผ่านเลข IP ลูกค้าร้านกระดาษกงเต๊กพอดี

ตอนนั้นทุกคนต่างรู้สึกว่าโลกนี้ไม่น่าจะมีเรื่องที่บังเอิญมากมายขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ฉยงเหรินจึงเปิดแชร์โลเกชั่นตอนอยู่บนรถด้วย เมื่อเห็นว่าโลเกชั่นของฉยงเหรินค่อยๆ เข้าใกล้ตำแหน่ง IP ที่พวกเขาค้นเจอ คนของกองตรวจการพิเศษก็ตระหนักได้ทันทีว่าคนที่ลงมือกับเฉินรุ่ยเจ๋อก็คือชายหน้าบากที่พวกเขาตามหามาแสนนาน

เพราะสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเขากลัวว่าหากไปช้าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตของเฉินรุ่ยเจ๋อ และกลัวว่าคนร้ายจะหนีไปได้ จึงได้แต่ต้องวางแผนปฏิบัติการง่ายๆ ไว้ก่อน

โดยการให้ฉยงเหรินกับเมิ่งเซินดึงดูดความสนใจชายหน้าบากไว้ พยายามช่วยชีวิตเฉินรุ่ยเจ๋ออย่างสุดความสามารถ พร้อมกันนั้นก็ถ่วงเวลาให้กองตรวจการพิเศษด้วย

ฉยงเหริน “ก็ไม่นึกว่าคุณจะให้ความร่วมมือกันขนาดนี้…”

ที่เขาว่าตัวร้ายตายเพราะพูดมาก ทำไมถึงมีตั้งหลายคนที่ไม่เข้าใจกันนะ

ชายหน้าบากลั่นเสียงหัวเราะ สีหน้าอย่างกับก๊อปวางนักแสดงเกรดบีในหนังเกรดบี

“พวกแกคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะจับฉันได้เหรอ” ความเหยียดหยามเปี่ยมล้นใบหน้าของเขา “ปีศาจแพนด้าปัญญานิ่มจากกองตรวจการพิเศษ ยมทูตดำตนหนึ่ง ตำรวจธรรมดาๆ หนึ่งนาย แล้วยังมีลูกหลานตระกูลนักพรตอีกสองคน มีอยู่แค่นี้คิดจะทำอะไรฉันเหรอ” เขากล่าวพร้อมหัวเราะร่า “ดูท่าฉันคงต้องให้พวกแกลิ้มรสชาติของการดูเบาศัตรูหน่อยแล้วล่ะ”

เมิ่งเซินได้ยินก็ยัวะจัด “กล้าดียังไงมาว่าสยงเหมียว ขยะที่ไหนไม่รู้อย่างแกจะมีค่าพอมาชี้นิ้วจับผิดสมบัติแห่งชาติได้ยังไง”

ทว่าหน้าหมีของสยงเหมียวกลับแข็งค้าง ดูจากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วชายหน้าบากคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ เขาทำให้นักพรตรุ่นอาวุโสทั้งหลายปีกหักกลับมามือเปล่าได้

พวกเธอเป็นห่วงฉยงเหรินกับผู้เสียหายที่ชื่อเฉินรุ่ยเจ๋อ ปีศาจแพนด้าจึงแบกอาจารย์หยางอ้ายกั๋วของเธอบินมา ส่วนคนอื่นยังรถติดอยู่บนถนน

จะโทษก็มีแต่ต้องโทษการจราจรเฮงซวยของเมืองหลงเฉิง

ชายหน้าบากยิ้มอ่อนให้เมิ่งเซิน “เป็นยมทูตแล้วยังไง แกจะแตะต้องฉันได้เหรอ”

อาวุธของยมทูตได้ผลกับภูตผีปีศาจเท่านั้น ตอนแรกที่ท่านเจ้าหลักเมืองรวบรวมนักพรตเต๋าเพื่อตามจับชายหน้าบาก แต่ไม่ได้ให้ยมทูตมาออกหน้าเองโดยตรงก็เป็นเพราะสาเหตุนี้

เมิ่งเซินมองชายหน้าบาก “ยมทูตทั่วไปแตะต้องคนเป็นไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ”

ชายหน้าบากยิ้มลำพอง

เมิ่งเซิน “แต่ข้าคือยมทูตคนเป็นเฟ้ย วันนี้ฉันมาด้วยร่างเนื้อ ไม่งั้นเมื่อกี้ฉันจะเดินเข้าทางประตูทำไมฮะ”

เขาล้วงเอายันต์ที่เก็บสะสมทุกวันปึกหนึ่งออกมาโยนไปที่ชายหน้าบาก แผ่นยันต์เกาะติดที่ร่างของอีกฝ่าย ทำให้สมองมึนเบลอตาพร่ามัว หยางอ้ายกั๋วเอากุญแจมือขึ้นมาหมายจะเข้าไปคุมตัวชายหน้าบากกลับไป

ชายหน้าบากจรดนิ้วชี้และนิ้วโป้งทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วประสานนิ้วที่เหลือ จากนั้นหมุนพลิกข้อมือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วนางประกอบเข้าด้วยกัน เอานิ้วที่เหลือขัดกันไปมา เป็นทรงเหมือนเจดีย์

เมิ่งเซินรูม่านตาหดเล็ก “นั่นมันท่าประสานมหาจินกวง*!”

แสงสีทองปรากฏเลือนรางบนกายชายหน้าบาก มันไม่ใช่สีทองบริสุทธิ์เหมือนแสงบารมีบนตัวฉยงเหริน แต่เป็นแสงสีทองจางๆ ที่แผ่ออกมา แสงทองกระเพื่อมออกไปเป็นระลอก ยันต์ของเมิ่งเซินมอดไหม้หายหมดสิ้น กลายเป็นเถ้าถ่านโดยไร้ซึ่งเปลวเพลิง

สีหน้าสยงเหมียวเปลี่ยนทันที

นี่มันแสงรัศมีเทพที่มีเฉพาะทวยเทพเท่านั้นไม่ใช่เหรอ อย่าบอกนะว่าชายหน้าบากที่ก่อเรื่องวุ่นวายมากมายในเมืองหลงเฉิงจะกลายเป็นเทพไปแล้ว

เธอคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องปกป้องมนุษย์ปกติเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ จึงคว้าฉยงเหรินหมับพร้อมกล่าว “นี่อาจจะเป็นเทพแล้ว คุณหนีไปก่อนเถอะ”

หวังป๋อตวนลงมาจากชั้นบน ถือดาบไม้ท้อพุ่งทะยานเข้าไป ตะโกนกร้าว “เอาดาบฉันไปกินซะ!”

เมื่อดาบไม้ท้อสัมผัสแสงทองบนร่างชายหน้าบาก ก็มอดไหม้กลายเป็นฝุ่นเถ้าราวกับถูกกลืนกิน สยงเหมียวยกปืนขึ้นยิงกระสุนยางออกไป แต่กระสุนยางที่สลักอาคมทั้งหลายก็จมหายไปหมด ทำอะไรชายหน้าบากไม่ได้เลยแม้แต่เสี้ยว

สยงเหมียวรู้สึกกลัว “เป็นไปได้ยังไง…หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง…”

ในฐานะปีศาจ แค่เห็นคำว่าเทพก็ตัวหดเหลือสามเซ็นต์โดยธรรมชาติแล้ว

แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจหยางอ้ายกั๋วไม่ได้กังวลขนาดนั้น ตราบใดที่เป็นภัยต่อสังคม จะเป็นคน เป็นผี หรือเป็นเทพก็ต้องจับตัวกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง

เขาเห็นว่ากระสุนยางสลักอาคมที่เอาไว้รับมือกับวิญญาณใช้ไม่ได้ผลกับผู้กระทำความผิดคนนี้ ก็ดึงกระบองตำรวจออกมาฟาดไปที่ชายหน้าบาก เจ้าหน้าที่ตำรวจหยางไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนคดี แต่ทักษะการต่อสู้ก็ดีมากเช่นกัน

ทว่าร่างกายของชายหน้าบากมีแสงทองคุ้มครองอยู่ กระบองตำรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจหยางฟาดลงไปที่ไหล่เขาก็เด้งออกทันที แรงสะท้อนกลับแรงมาก มันสะเทือนจนเจ้าหน้าที่หยางมือชาหนึบ เกือบกำกระบองไว้ไม่อยู่

แสงทองกระเพื่อมออกไปโดนสยงเหมียว เธอรีบกระถดออกไป ซ้ำขนยังถูกเผาไหม้ไปเล็กน้อยด้วย

ตอนนั้นเองที่ชายหน้าบากรู้สึกเหมือนตนเองได้ปลดปล่อยความทุกข์ที่อัดอั้นมานานออกไปในที่สุด

การต่อสู้ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ระยะเวลารวมทั้งหมดไม่ถึงหนึ่งนาที เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมไม่กระดิกไปไหน ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกหมดกำลังต่อสู้

เหลือก็แต่ฉยงเหรินที่ถูกบังอยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ ต่อให้สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

เขายกยิ้มอ่อน เดินไปทางฉยงเหริน

ขณะกำลังผยองลำพองด้วยความอิ่มเอมใจ รอยยิ้มที่แฝงความโอหังบนใบหน้ากลับต้องแข็งค้าง

ภาพด้านหลังฉยงเหรินที่เขาเห็นพลันพร่ามัวและสั่นไหว ราวกับอากาศตรงนั้นถูกเพิ่มความร้อนอย่างฉับพลันจึงทำให้เกิดการหักเหแสง

ขาที่เปลือยเปล่า ปกคลุมด้วยเครื่องประดับงามเพริศแพร้วจรดย่ำออกมาจากความว่างเปล่า พร้อมเหยียบลงไปบนกลีบดอกบัวแดงรูปร่างดุจเปลวเพลิง

ชายหน้าบากพลันหน้าเปลี่ยนสี ท่านผู้นั้นทำไมจู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ แล้วยังอยู่ในร่างของธรรมลักษณะที่น่ากลัวที่สุดของท่านด้วย คงไม่ได้จะมาจับเขาใช่ไหม

เขามีนิสัยอย่างหนึ่ง ยิ่งเขากลัวเท่าไหร่ ก็ยิ่งเผยยิ้มไม่แยแสออกไปเพื่อกลบเกลื่อนมากเท่านั้น แล้วที่ผ่านมาเขาก็ตบตาคนไปได้ไม่น้อย

“ก็แค่ใช้อาคมพลิกดวงชะตาไม่กี่ครั้ง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนี่ ถึงกับทำให้พวกแกต้องฮึกเหิมขนาดนี้เลยเหรอ ดูท่าลัทธิเต๋าคงจะตกต่ำลงจริงๆ ถึงไม่มีใครรู้จักใช้มนตราคำสาปคุณไสยหรือยันต์เลย”

ปากพล่ามบทพูดของวายร้าย แต่ความจริงในใจกำลังคิดแผนการหนีอยู่

ฉยงเหรินดันสยงเหมียวที่บังอยู่ข้างหน้าให้หลีกทาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบรื่นนุ่มนวล “ขอยืนยันอีกครั้งนะครับ ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยรู้เลยว่าผมคือใคร ถูกหรือเปล่าครับ”

ชายหน้าบากยิ้มบางอย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมฉันต้อง…”

เขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกขัดด้วยเก้าอี้สลักลายดอกไม้ที่ฉยงเหรินยกขึ้นฟาดผนังห้อง

ชายหน้าบากพยุงตัวกับผนัง ประคองตัวให้ยืนมั่นคง เขาโคลงศีรษะ ก่อนจะเห็นเท้าแสนงดงามที่ย่ำออกมาข้างนั้นหดกลับไป เขานึกว่าท่านผู้นั้นคร้านจะสนใจเรื่องของเขา ความใจกล้าจึงฮึดขึ้นมาทันที เขาตะคอกอย่างดุร้าย “ทำไมฉันต้องรู้จักแกด้วย”

ฉยงเหรินยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่รู้จักก็ไม่เป็นไร รู้จักตอนนี้เลยก็ได้”

เขาจิกผมชายหน้าบาก ด้วยแรงที่ทำให้ชายหน้าบากไม่สามารถดิ้นหลุดได้

“ระวังแสงทองบนตัวเขาลวกนะ!”

ทุกคนพูดเตือนเสียงดัง แต่เมื่อมองดีๆ แสงทองที่มอดไหม้อาวุธของพวกเขากลับไม่มีผลอะไรกับฉยงเหรินเลย

ชายหน้าบากไม่คิดว่าฉยงเหรินจะไม่กลัวแสงเทพของตนเลย ในใจก็อดพรั่นพรึงไปชั่วขณะไม่ได้ แล้วก็เผยรอยยิ้มจองหองออกมาอีกครั้ง

ฉยงเหรินเห็นอีกฝ่ายยิ้ม ตัวเขาก็ยิ้มสุภาพอ่อนโยนออกไปบ้าง ก่อนฉุดกระชากผมของชายหน้าบากขึ้น โยนตัวอีกฝ่ายลงพื้น แล้วกดหัวกระแทกพื้นซ้ำๆ

ปึง! ปึง! ปึง!

เสียงดังลั่นเสียจนผู้ชมจิตเมตตาที่อยู่รอบๆ ต่างสั่นระริก

“ผมชื่อฉยงเหริน ถ้าคุณจำไม่ได้ งั้นขอผมเตือนความจำคุณสักหน่อย มีเจ้าโง่ที่ชื่อว่าฟู่จยาเจ๋อไปหาคุณแล้วเล่นอาคมพลิกดวงชะตา ดวงที่เอาไปก็คือดวงของผม”

เขาโขกไปพูดไป

เหมือนกับตอนเขาทำการแสดง ทางหนึ่งก็เต้นท่ายากๆ ไปด้วย ทางหนึ่งก็ร้องออกมาโดยรักษาคุณภาพเหมือนตอนร้องในห้องอัดไว้ ตอนนี้เขากระแทกหัวชายหน้าบากอย่างแรงไปด้วย แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการพูดเลยแม้แต่น้อย

ลื่นไหลและราบรื่น

“นึกออกหรือยังครับ”

เสียงของฉยงเหรินสุดแสนนุ่มนวล เขาดึงผมชายหน้าบากจับไปทุ่มกับผนัง

ปัง! ผนังถูกทุบแตกเป็นร่อง

“ซี้ดดด…” พวกเขาสูดปากขึ้นมาพร้อมกัน นักพรต ตำรวจ ยมทูต และปีศาจแพนด้าต่างพากันถอยกรูดอย่างพร้อมเพรียง

“ยังจำผมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเตือนความจำคุณอีกรอบ คุณยังจำโจวมี่กับอ้ายอินเยวี่ยได้หรือเปล่า พวกเขาเป็นผู้เสียหายของคุณทั้งคู่ คุณก็ยังดูหนุ่มอยู่ ความจำคงไม่ได้แย่จนถึงกับจำไม่ได้สักคนหรอกเนอะ”

ชายหน้าบาก “ฉัน…”

เขาเพิ่งพูดออกไปได้คำเดียวก็ถูกฉยงเหรินยกหัวขึ้น ใช้หัวเขาต่างค้อนตอกตะปูตอกลงไปที่โต๊ะ

ปัง!

โต๊ะถูกหัวตอกกระแทกลงไปจนมุมโต๊ะแตกไปหนึ่งมุม

เสียงของฉยงเหรินติดความน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย “คุณเหยียดผมเหรอ ทำไมถึงไม่พูดกับผมเลยล่ะ”

บนตัวชายหน้าบากมีแสงทองคุ้มอยู่ ไม่ว่าร่างกายส่วนไหนก็ไม่เจ็บทั้งนั้น แม้แต่ผมที่ถูกฉยงเหรินจิกกระชากก็ไม่หลุดออกมาเลยสักเส้น แต่ว่าใครก็ตามที่โดนกดหัวโขกอย่างน่ากลัวแบบนี้ก็ยากจะรักษาความสามารถทางภาษาปกติที่มีไว้ได้ทั้งนั้น

ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครมองไม่ออกว่าชายหน้าบากตอนนี้ไม่ได้ไม่อยากพูด แต่พูดไม่ออกเลยต่างหาก

สยงเหมียวกลืนน้ำลายด้วยความกลัว ตกใจกลัวจนขาหมีแพนด้าบิดเป็นเลขแปดจีน (八) “ฉยงเหรินเป็นคนจริงๆ เหรอคะ”

เมิ่งเซิน “แน่นอ…”

เดิมเขาจะตอบว่าแน่นอน แต่เมื่อคิดอีกทีก็ชักไม่มั่นใจ หรือว่าฉยงเหรินจะทำไอ้นั่นกับพญายมราชแล้ว การบำเพ็ญคู่สามารถเปลี่ยนสภาพร่างกายของคนธรรมดาได้

เมิ่งเซิน “คงใช่มั้ง…”

ฉยงเหรินหิ้วชายหน้าบากขึ้นมาด้วยมือเดียว ฉุดกระชากลากถูไปที่ข้างโต๊ะ ไถหน้าชายหน้าบากกับป้ายเทพเจ้าที่น่าสงสัยว่าจะเป็นชื่อของเขาเองไปมาอย่างบ้าคลั่ง

ชายหน้าบากเป็นนักพรตที่ถูกต้องตามขนบ ดูท่าทางสูงส่ง แต่ที่จริงร่างกายอ่อนแอ เขาหมายจะหาจังหวะท่องคำสาปประสานมุทราให้ได้สักนิด แต่กลับถูกฉยงเหรินฉุดไปกระชากมากระแทกแรงๆ ไปชุดใหญ่ แถมมือก็ถูกฉยงเหรินจับไพล่หลัง หาโอกาสต่อต้านไม่ได้เลยจริงๆ

แม้ร่างกายจะไม่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง แต่ชายหน้าบากก็รู้สึกว่านี่เป็นอุปสรรคขวางกั้นชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว และเขาก็เริ่มสงสัยในตัวเองว่าจะสามารถผ่านมันไปได้หรือไม่

สมองของเขาแทบจะถูกกวนเป็นเนื้อเดียวอยู่แล้ว ทำไมถึงมีลูกศิษย์ลัทธิเต๋าที่เอาชนะได้โดยอาศัยแต่พละกำลังเข้าสู้อย่างเดียวล้วนๆ แบบนี้อยู่ด้วย

ตอนนี้ในใจของชายหน้าบากนอกจากความกลัวก็มีแต่ความกลัว

และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งกลัวคือหลังจากถูกฉยงเหรินกระหน่ำทุ่มหัว แสงทองบนตัวเขาก็ค่อยๆ อ่อนลงอย่างช้าๆ

เมิ่งเซินมองอย่างหมดคำจะกล่าว “ของแบบนี้ใช้แรงกายภาพทำให้สลายได้ด้วยเหรอเนี่ย…”

ฉยงเหรินนั่งลงกระชากหัวชายหน้าบากอย่างป่าเถื่อน โน้มตัวลงพร้อมใช้ดวงตาโตๆ จับจ้องเขา ใบหน้ายังคงแต้มด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนไร้เดียงสา แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเขามีแต่จะทำให้ชายหน้าบากรู้สึกหนาวเหน็บจากก้นบึ้งจิตใจ

“หนูในราง แมลงสาบในท่อระบายน้ำ คุณ ฟู่จยาเจ๋อ กับหวังเย่าชิงก็คือสัตว์พวกนี้ จุดจบของพวกคุณมีแต่ต้องอยู่ในบ่อเกรอะเท่านั้น แม้แต่นรกก็ยังไม่อยากรับกากเดนมนุษย์หน้าเหม็นอย่างพวกคุณ สุนัขเขี้ยวเหล็กกับอีแร้งก็ยังไม่อยากกินขยะแบบนี้ ถ้าเห็นคุณ ปฏิกิริยาของพวกมันก็มีอยู่แค่แบบเดียวเท่านั้น…อุแหวะ~”

ฉยงเหรินคิดถึงตัวเขาที่แป้กมาสามปี ในช่วงสามปีนั้นไม่รู้ผู้จัดการกับครูใหญ่เป็นห่วงเขาไปตั้งมากเท่าไหร่ ถอนหายใจไปแล้วตั้งกี่ครั้ง

แต่ความทุกข์ที่เขาได้รับเทียบอะไรกับอ้ายอินเยวี่ยไม่ได้เลย

อ้ายอินเยวี่ยอุตส่าห์มีโอกาสได้โด่งดังมีชื่อเสียง แต่กลับต้องมาตายตกอย่างคาดไม่ถึงเพราะอาคมพลิกดวงชะตาเฮงซวยนี่ ฉยงเหรินโอนเงินให้แม่ของเขาด้วยค่าลิขสิทธิ์เพลง BGM ทุกครั้งที่เห็นบัญชีนั้นฉยงเหรินก็รู้สึกปวดใจทุกที

อาคมพลิกดวงชะตาเขมือบชีวิตของอ้ายอินเยวี่ย ทำให้แม่ของอ้ายอินเยวี่ยต้องทนรับความเจ็บปวดที่คนผมขาวโพลนสูญเสียลูกที่ยังผมดกดำ

อวี๋เวยกับโจวมี่เดิมทีเป็นครอบครัวที่มีความสุข โจวมี่เป็นผู้กำกับที่ค่อนข้างมีอนาคตมากทีเดียว อวี๋เวยก็เป็นคนบ้างานที่ขยันขันแข็ง

แต่ก็เป็นเพราะชายหน้าบากคนนี้กับหวังเย่าชิง อย่าว่าแต่เรื่องการงานของโจวมี่ที่หยุดชะงักเลย มันยังเกือบชิงสองชีวิตอวี๋เวยและลูกในท้องไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะวันนั้นฉยงเหรินนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินพอดี อวี๋เวยก็อาจตายเพราะวิญญาณหลุดออกจากร่างนานเกินไปก็ได้

ทำเรื่องเลวร้ายไว้มากมายขนาดนี้ ทำลายความสุขและความหวังของคนอื่น ชายหน้าบากที่เป็นตัวการของหายนะทั้งหมดกลับจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของผู้เสียหายด้วยซ้ำ

จำไม่ได้แม้แต่คนเดียว

ในสายตาอีกฝ่ายเห็นชีวิตคนอื่นเป็นอะไรกันแน่

ฉยงเหรินกำผมชายหน้าบาก เอียงหัว แววตากระจ่างใสไร้ซึ่งเจตนาร้ายแม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่ากลับทำให้อีกฝ่ายสั่นคร้ามทั้งที่ไม่หนาว “อย่าคิดว่าตั้งป้ายเทพเจ้าให้ตัวเองแล้วจะได้เป็นเทพบริสุทธิ์ครับ”

ฉยงเหรินมองรอยยิ้มของชายหน้าบาก “คุณเคยทำลายชีวิตของคนอื่น ตอนนี้ถึงตาผมบ้างแล้ว”

เขากระแทกหัวชายหน้าบากกับผนังอย่างแรง เศษฝุ่นร่วงลงมาจากผนังอย่างบ้าคลั่ง แถมยังเกิดเป็นรูโหว่รูปศีรษะของอีกฝ่ายด้วย และแล้วแสงทองบนตัวชายหน้าบากก็เหมือนกับเปลือกน้ำตาลบางที่ถูกทุบ

มันแตกเป็นเสี่ยงๆ

ใบหน้าของชายหน้าบากถูกบดกับผนังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

ครั้งแรก ดั้งของเขาหัก

ครั้งที่สอง เขารู้สึกเหมือนฟันของตนกระเด็นออกไป

ครั้งที่สาม ฉยงเหรินใช้หมัดของตัวเองต่อยไปที่กลางขมับเขา

เพียงหมัดเดียวก็ทำให้สมองของเขาสะเทือนดังวิ้งๆ เขาถึงกับสงสัยว่ากะโหลกซึ่งเป็นกระดูกส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายมนุษย์จะถูกทุบแตกไปแล้ว

“ฉันยอมแพ้!”

ชายหน้าบากตะโกนเสียงอู้อี้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ทำให้จิตใต้สำนึกของเมิ่งเซินและคนอื่นๆ ที่รังเกียจเดียดฉันท์เขาสุดฤทธิ์ต่างพากันไว้อาลัยให้เขาสองวิ

ฉยงเหรินพูดอย่างโหดเหี้ยม “ไม่อนุญาตครับ”

ในชั่วขณะนั้นถึงกับแยกไม่ออกว่าใครเป็นตัวร้ายกันแน่

เขาถีบไปที่สีข้างของชายหน้าบาก ร่างสูงใหญ่ของชายหน้าบากถูกถีบกระเด็นเป็นเส้นตรงและกระแทกกับผนังก่อนที่ตัวจะไหลลงมา

ชายหน้าบากส่งเสียงโอดโอยครวญครางด้วยความเจ็บปวดถึงขีดสุด หน้าเขาบวมฉึ่งจนมองไม่เห็นแม้แต่รอยแผลเป็นบนหน้า เลือดอาบหน้า ได้แต่ต้องยื่นมือไปหาคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างไร้ที่พึ่ง “ชะ…ช่วยฉันด้วย”

ตอนนั้นเองที่เหล่าตำรวจและกองตรวจการพิเศษที่รถติดมาสายในที่สุดก็กระโจนขึ้นมาถึงชั้นสอง ทันทีที่พวกเขาเข้าห้องมาต่างก็ต้องนิ่งอึ้งกันหมด ลังเลไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าตัวเองควรจับใครกันแน่

ฉยงเหรินจะต่อยเขาอีก แต่ก็ถูกสยงเหมียวและหยางอ้ายกั๋วเหนี่ยวรั้งไว้อย่างแน่นหนา เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหลายพุ่งเข้าไปใส่กุญแจมือชายหน้าบาก

สยงเหมียวใช้ร่างกายตัวเองทับฉยงเหรินไว้ “ใจเย็นสิ! ถ้าต่อยอีกคุณจะเป็นนักโทษคดีฆาตกรรมคนแล้วนะคะ”

ฉยงเหริน “เขาไม่ใช่คนสักหน่อยครับ นับว่าเป็นการฆาตกรรมคนได้ด้วยเหรอ”

นายตำรวจหยางอ้ายกั๋วออกปากเตือนด้วยความหวังดี “ความรู้สึกของการฆ่าคนมันแย่มากนะ ต้องมีแผลใจเพราะคนพรรค์นี้มันไม่คุ้มหรอก แล้วคุณยังเป็นไอดอลที่กำลังดังด้วย คุณดูสิ มือแดงไปหมดแล้ว ถ้าแฟนคลับคุณเห็นจะไม่ปวดใจแย่เหรอ”

ชายหน้าบากเลือดกบปาก หน้าบวมฉึ่งอย่างกับสุกร แถมฟันยังร่วงไปหลายซี่ ยากมากที่จะพูดออกมาได้เป็นคำ แต่เพราะเขาอึ้งเกินไปจึงฝืนทนความเจ็บเบิกตาที่บวมจนมองอะไรแทบไม่เห็นกว้างพลางเอ่ยถาม “เขาเป็นอะไรนะ”

“ไอดอล” ฉยงเหรินดิ้นรนโผล่หัวตัวเองออกมาจากร่างอันหนักอึ้งของสยงเหมียวได้ “สระไอ อ.อ่าง ด.เด็ก อ.อ่าง ล.ลิง สะกดเป็นไหมครับ ต้องให้ผมยัดเข้าสมองคุณไหม อ้อ ผมลืมไป แมลงสาบอย่างคุณไม่มีสมองนี่นา”

ชายหน้าบากนึกว่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของเขาคือการถูกฉยงเหรินทุบตีเต็มๆ สิบนาทีไปเมื่อกี้ แต่เขาคิดผิด ไม่นานสิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นก็ปรากฏขึ้นในวินาทีที่เขาได้รู้อย่างกะทันหันว่าฉยงเหรินเป็นไอดอล

“ทำไม” ชายหน้าบากน้ำตาไหลพราก ร้องออกมาจากใจจริง “ไอดอลควรร้องรำทำเพลงอยู่ในทีวี ถ่ายซีรี่ส์ห่วยๆ แล้วก็ออกรายการแฮปปี้แคมป์ไม่ใช่เรอะ”

 

** มุทรา เป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธโดยใช้มือ

* พญายมราชคุยง่าย ผีผู้น้อยเซ้าซี้ เป็นการเปรียบเปรยว่าผู้ใต้บังคับบัญชารับมือยากกว่าผู้บังคับบัญชา

* วอเตอร์ลู (Waterloo) คือสงครามครั้งสุดท้ายของนโปเลียนที่แพ้ให้กับกองทัพพันธมิตร ภายหลังนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในอินเตอร์เน็ตในเชิงเปรียบเปรยว่าเป็นคนที่เคยประสบความสำเร็จแต่สุดท้ายกลับต้องล้มเหลวในอาชีพ ล้มเหลวอย่างน่าอนาถ

* เบญจธัญญาหาร คือธัญพืชหลักห้าอย่าง ประกอบไปด้วย ข้าวเจ้า ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวสาลี และพืชจำพวกถั่ว

* จินกวง มีความหมายว่าแสงสีทอง

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

community.jamsai.com