everY
ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3 บทที่ 55-56 #นิยายวาย
บทที่ 56
นายตำรวจตัดสินใจเด็ดขาดยกมือขึ้นอุดปากชายหน้าบาก อย่างน้อยก็ต้องพยายามเต็มที่เพื่อรักษาชีวิตของเขาก่อนเขาจะสารภาพความผิดเสร็จ
ฉยงเหรินดีดดิ้นอยู่ครู่หนึ่งถึงสงบลง “ลุกครับ”
สยงเหมียวค่อยๆ ย้ายก้นออกไป กุมแก้มเอียงหัวมองเขา โชว์รอยยิ้มสุดแสนจะน่ารัก
คนในเหตุการณ์รวมทั้งชายหน้าบากต่างยิ้มตาเยิ้มออกมาด้วยความลุ่มหลง
สยงเหมียว “เมื่อกี้ฉันร้อนใจไปหน่อยเลยนั่งทับตัวคุณ อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะ”
ในฐานะมนุษย์ที่ไม่เข้าใจว่าหมีแพนด้าน่ารักตรงไหน ฉยงเหรินรู้สึกเป็นห่วงสุขภาพคอของปีศาจหมีแพนด้าอย่างจริงจัง “คุณนอนตกหมอนหรือเปล่า หรือตอนนั่งบนตัวผมเมื่อกี้เส้นยึดไปถึงกล้ามเนื้อตรงคอเหรอครับ ให้ผมนวดคลายกล้ามเนื้อให้ไหม”
เขาวอร์มนิ้ว
สยงเหมียว “ไม่เป็นไรค่ะ…”
เกลียดอ่าแง QAQ
สยงเหมียวซ่อนความเจ็บปวดในจิตใจ หมุนร่างหมีตุ้ยนุ้ยออกไปอย่างสง่าผ่าเผย “หวังว่าคุณผู้กระทำความผิดจะให้ความร่วมมือกับการไต่สวนของเรา ไม่ให้ความร่วมมือก็ไม่เป็นไร พวกเราป้อนยาสารภาพให้คุณได้”
ทว่าชายหน้าบากกลับหัวเราะในลำคอ “ยาสารภาพ? หึๆ ของแบบนั้นไม่ได้ผลกับฉันหรอก ฉันเป็นถึงเทพ วิธีการเด็กๆ นั่นทำอะไรฉันไม่ได้”
ฉยงเหรินเตะขาเขาไปหนึ่งป้าบ “ได้รับควันธูปเซ่นไหว้หน่อยเดียวก็กล้าพูดว่าตัวเองเป็นเทพ ถ้าใช้มาตรฐานนี้คนตายทุกคนก็คงเป็นเทพกันหมดแล้วไหม”
ชายหน้าบากถูกเตะจนตุปัดตุเป๋ ไม่กล้าต่อปากต่อคำ แต่ก็ไม่อยากหุบปากยอมจำนน จึงได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเย็นเยียบที่ฟังดูกระอักกระอ่วนออกมา
สยงเหมียว “ถ้ายาสารภาพใช้ไม่ได้ แล้วอย่างงี้จะสืบสวนยังไง…”
หยางอ้ายกั๋วถลึงตาใส่เธอ “ยาสารภาพแต่เดิมก็เป็นวิธีการผิดจารีต การไต่สวนที่ถูกต้องของพวกเราใช้แต่วิธี…คุณฉยงเหริน คุณจะทำอะไร”
ฉยงเหรินกำลังยัดหูฟังใส่หูชายหน้าบาก ในสายตาชายหน้าบากตอนนี้มองฉยงเหรินเป็นงูพิษร้ายจึงถอยกรูด แต่ตัวเขาที่ถูกตำรวจจับกุมอย่างแน่นหนาจะถอยไปได้สักกี่ก้าว
ฉยงเหรินยัดหูฟังเสร็จก็ยิ้มบางๆ พร้อมกล่าว “หวังว่าคุณจะชอบเพลงนี้นะครับ”
เขาไม่ได้เปิดเสียงดังมากนัก นอกจากชายหน้าบากก็ไม่มีใครได้ยินว่าในหูฟังกำลังเปิดเพลงอะไรอยู่
แต่นั่นต้องเป็นเพลงที่น่ากลัวที่สุดในโลกแน่นอน!
ชายหน้าบากตาเหลือกก่อนเป็นอันดับแรก ทำหน้าเหมือนใกล้ตายแต่ก็ตายไม่ได้ จากนั้นก็เริ่มร้องไห้โหยหวน ขอร้องให้ฉยงเหรินถอดหูฟังออก แล้วยังพยายามสะบัดหัวให้หูฟังหลุดอย่างบ้าคลั่ง
ในท้ายที่สุดอาจเป็นเพราะมันเจ็บปวดรวดร้าวทรมานมากจริงๆ เขาจึงเริ่มขดร่างกายจนแทบไม่เหมือนมนุษย์ แล้วเริ่มขบแทะหัวเข่าตัวเอง
ฉยงเหรินเอาหูฟังออกข้างหนึ่ง กำไว้แน่นอย่างเอาใจใส่
ชายหน้าบากไม่ใช่วิญญาณ ในหูฟังจึงเป็นเพลง ‘นักล่าแสง’ เวอร์ชั่นเลขาฯ หนานที่ยังไม่ผ่านการจัดการของท่านพญายม คนที่อยู่ตรงนี้จึงสามารถได้ยินเพลงนี้กันหมด ฉยงเหรินไม่อยากให้พวกเขาต้องนอนไม่หลับไปสามปีเหมือนท่านพญายม
เขาถามเสียงใจเย็น “อยากสารภาพหรือยังครับ”
ชายหน้าบากแววตาเลื่อนลอย น้ำตาคลอเบ้า “ขอแค่ไม่ต้องฟังเพลงนี้ ฉันยอมพูดหมดทุกอย่าง”
ฉยงเหรินถอดหูฟังออกมา หันไปยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ “เขาเป็นของพวกคุณแล้วครับ”
เจ้าหน้าที่หยางมองชายหน้าบากที่เหม่อลอยน้ำตาไหลนอง แล้วเหลือบมองฉยงเหรินที่รอยยิ้มสวยเกินมนุษย์มนาหนึ่งที จู่ๆ เขาก็หนาวสะท้าน
ไอดอลเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวจริงๆ
กล่าวตามหลักแล้วพวกเขาควรพาตัวคนร้ายกลับไปยังกองตรวจการพิเศษก่อน ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวน แต่วันนี้ผู้ต้องสงสัยกล่าวกับร้านกระดาษกงเต๊กชิงชิงตอนสั่งออเดอร์ว่าต้องการตุ๊กตาเมิ่งชิงเหิงกับฟู่จยาเจ๋ออย่างด่วนจี๋ หยางอ้ายกั๋วกลัวว่าหากชักช้าจะเกิดปัญหา แถมเห็นว่าชายหน้าบากยอมอ่อนข้อแล้ว จึงถามออกไปทันที
“คุณต้องการตุ๊กตาเมิ่งชิงเหิงกับฟู่จยาเจ๋อไปทำไม”
ชายหน้าบากตอบตามตรง “เป็นตัวตายตัวแทน”
สยงเหมียวได้ยินคำตอบ ไฟโทสะก็ลุกพึ่บขึ้นมาทันที “ถึงเมื่อก่อนกองตรวจการพิเศษของเราจะไม่ค่อยได้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้ห่วยจนแยกมนุษย์กับตุ๊กตากระดาษไม่ออกนะ คิดว่าดูถูกใครอยู่”
ชายหน้าบากกล่าวเสียงอ้ำๆ อึ้งๆ “ฉันไม่เคยคิดจะเอาตุ๊กตามาแทนที่คนเป็น”
สยงเหมียว “งั้นคุณจะเอาของพวกนั้นไปทำอะไร”
ฉยงเหรินคิดในใจ ชายหน้าบากเป็นอาชญากรที่ระริกระรี้มีความสุขเมื่อเห็นคนอื่นทุกข์ทรมาน ทว่ากลับจำชื่อผู้เสียหายอย่างพวกเขาไม่ได้เลย นั่นแปลว่าสำหรับชายหน้าบากแล้วพวกเขาไม่ได้มีความสลักสำคัญใดๆ เลย
ก่อนหน้านี้เมิ่งเซินก็เคยบอกว่าจากความสามารถระดับชายหน้าบาก แค่ไปเป็นปรมาจารย์ตามปกติสุขก็หาเงินก้อนใหญ่ได้สบาย ไม่มีความจำเป็นต้องใช้วิธีผิดจารีตอย่างอาคมพลิกดวงชะตาพวกนี้เลย
กระแสไฟฟ้าพลันแล่นผ่านสมองฉยงเหริน จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าเรื่องทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมดแล้ว
“เขาไม่ได้จะเอาตุ๊กตามาใช้แทนคนเป็น แต่จะเอามาใช้แทนวิญญาณ เป้าหมายของเขาไม่ใช่ผู้เสียหายที่โดนอาคมพลิกดวงชะตาตั้งแต่แรก แต่เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากยันต์พลิกดวงชะตา”
ชายหน้าบากหัวเราะเสียงแผ่วต่ำ “สมกับเป็นชายที่เอาชนะฉันได้ ฉลาดกว่าคนไร้ประโยชน์พวกนี้”
ฉยงเหริน “อย่างคุณมันก็แค่ขยะที่รีไซเคิลไม่ได้ ยังมีหน้าเอาตัวเองไปเทียบตำรวจทั้งสองภพภูมิอีก อย่ามาเลียขาครับ”
ชายหน้าบากชื่อเดิมว่ากัวหยวน เป็นคนหลิงโจว
สมัยโบราณผู้คนเชื่อกันว่าที่ไหนมีแหล่งน้ำก็ต้องมีราชามังกร บ่อน้ำเองก็ย่อมมีราชามังกรแห่งบ่อน้ำ
ก่อนตายกัวหยวนอาศัยอยู่ข้างๆ บ่อน้ำลึกที่มีชื่อเรียกว่าบ่อน้ำมังกรฟ้า แต่ก่อนคุณภาพบ่อน้ำนี้ใสสะอาด น้ำไหลผ่านไม่ขาดสาย แต่พอกัวหยวนเกิด น้ำในบ่อนับวันก็ยิ่งแห้งแล้ง
มีคนบอกว่าสาเหตุเป็นเพราะราชามังกรแห่งบ่อน้ำย้ายออกไปแล้ว
กัวหยวนเป็นช่างแกะสลักหยก เขาได้ยินตำนานเรื่องราชามังกรแห่งบ่อน้ำบ่อยๆ จึงนำมันมาเป็นแรงบันดาลใจในการแกะสลักเป็นรูปราชามังกรแห่งบ่อน้ำ
ต่อมาหลิงโจวแห้งแล้ง ชาวบ้านตาดำๆ ในแถบนั้นก็พากันมากราบไหว้บูชาบ่อน้ำมังกรฟ้า หวังให้สวรรค์บันดาลฝนลงมาโดยเร็ว หรือไม่ก็ขอให้ราชามังกรทำให้น้ำในบ่อผุดขึ้นมาเยอะๆ หน่อย พวกเขาจะได้มีชีวิตรอดผ่านพ้นความยากลำบากนี้ไปได้
กัวหยวนเห็นคนมากมายลำบากยากเข็ญเพราะความแห้งแล้งจนต้องมาอธิษฐานที่บ่อน้ำมังกรฟ้าทุกวัน เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเจ็บปวดกับความทุกข์ยากของชาวบ้าน กลับกันยังมีความคิดจะกลั่นแกล้งเหล่าชาวบ้านอีกด้วย
เขาบอกว่ารูปสลักราชามังกรแห่งบ่อน้ำของตนนี้ ราชามังกรเข้าฝันมาบอกให้เขาแกะสลักออกมาให้ชาวบ้านกราบไหว้ภายในสามวัน ท่านต้องการให้ทุกคนโขกหัวคำนับหนึ่งพันครั้ง ฟ้าจึงจะบันดาลฝนลงมา
ชาวบ้านที่กระตือรือร้นกับการขอฝนเชื่อคำพูดไร้สาระของกัวหยวนทันที
ด้วยเหตุนี้กัวหยวนจึงวางรูปสลักไว้ข้างบ่อน้ำให้ชาวบ้านมาจุดธูปโขกหัวให้หยกสลักชิ้นนี้
เมื่อเห็นชาวบ้านทุกคนโขกหัวกันจนเลือดตกยางออก ในใจของกัวหยวนก็เบ่งบานไปด้วยดอกไม้
ตกกลางคืนชาวบ้านที่บูชาเซ่นไหว้ราชามังกรแห่งบ่อน้ำก็ทยอยกลับบ้าน กัวหยวนกำลังเก็บหยกสลักกลับมา แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนมือถึงได้ลื่นทำหยกสลักร่วงลงไปในบ่อ เขารีบลงบ่อไปงมขึ้นมา แต่กลับจมน้ำตายอยู่ในบ่อนั้น
แล้วก็เป็นความบังเอิญเช่นกัน พอเขาตายฝนก็ตกลงมาจากท้องฟ้า บ่อน้ำก็ค่อยๆ เอ่อล้นออกมา
ตอนที่ชาวบ้านงมศพเขาขึ้นมาหยกสลักก็ติดอยู่กับกำแพงบ่อน้ำเอาขึ้นมาไม่ได้ เวลาเพียงไม่นานคนก็ลือกันไปทั่วว่ากัวหยวนคือราชามังกรแห่งบ่อน้ำ ที่บ่อน้ำแห้งขอดก็เป็นเพราะเขามาเกิดใหม่ ไม่ได้อยู่ในบ่อน้ำแล้ว และที่น้ำเอ่อล้นออกมาอีกครั้งก็เป็นเพราะเขากลับไปเป็นราชามังกรแล้ว
เมิ่งเซินเข้าใจเรื่องทั้งหมดที่ได้ฟังแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “กัวจู่เจินจวิน พระจิตศักดิ์สิทธิ์แห่งมังกรฟ้าทั้งสี่สิบแปดชี่ที่คุณเขียนไว้บนป้ายเทพเจ้า มังกรฟ้าที่ว่านั้น ความจริงแล้วก็คือบ่อน้ำมังกรฟ้า สี่สิบแปดนั่นก็มาจากตัวอักษรจิ่งที่แปลว่าบ่อน้ำอยู่ในลำดับที่สี่สิบแปด ตามหลักฤกษ์ยามหกสิบสี่กว้า* สินะ ส่วนตัวอักษรอื่นก็แค่ไปเลียนแบบสมญานามของนักพรตเต๋าท่านอื่นๆ มาปิดทองบนหน้าตัวเอง** ล่ะสิ เอาชื่อคนอื่นมาแอบอ้างหลอกลวงให้ชาวบ้านเซ่นไหว้บูชา แล้วยังคิดว่าตัวเองเป็นเทพจริงๆ หน้าไม่อาย”
ชายหน้าบากหัวเราะหึเสียงเย็น กำลังจะอ้าปากพูด แต่เหลือบไปเห็นมือฉยงเหรินที่ถือหูฟังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน เพียงพริบตาก็เปลี่ยนให้เขาว่านอนสอนง่ายในทันที “ตอนแรกฉันก็แค่มีศาลอยู่ในหมู่บ้านนั้น แต่ชื่อเสียงก็ขจรไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ศาลก็เลยเยอะขึ้น พอมีคนเซ่นไหว้บูชาเยอะ พลังแห่งเทพก็มาเอง”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เหี้ยมเกรียมขึ้นมา
“จะโทษก็ต้องโทษมนุษย์ ทำไมต้องคิดค้นระบบน้ำประปาด้วย! ปกติธูปที่ฉันได้ก็ดีมาตลอด ทั้งหมดเป็นเพราะรัฐบาลของมนุษย์อย่างพวกแกมันไม่ได้เรื่อง ไม่รู้ทำไมจะต้องใส่ใจพวกชาวบ้านเฮงซวยพวกนั้น ทำไปทำไมไฟฟ้าเอย ทางน้ำผ่านทุกหมู่บ้านเอย ที่ที่วางท่อน้ำไม่ได้ก็ไปขุดบ่อลึกอีก บนบ่อพวกนั้นยังมีปั๊มน้ำอีก พวกชาวบ้านได้ดื่มน้ำก็ลืมเทพแห่งบ่อน้ำอย่างฉันไป แล้วก็ไม่มากราบไหว้ฉันอีก ถ้าไม่ใช่เพราะมนุษย์อย่างพวกแกบังคับ ฉันก็คงไม่ต้องถึงกับมาวางแผนร้ายกับวิญญาณพวกนี้หรอก”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ต่างก็กำหมัดแน่น
คำก็มนุษย์อย่างพวกแก สองคำก็มนุษย์อย่างพวกแก ลืมกำพืดเดิมของตัวเองที่เป็นคนมาก่อนไปหมดแล้ว ไม่นึกว่าคนแบบนี้ก็กลายเป็นเทพแห่งบ่อน้ำได้ แล้วยังได้รับควันธูปไม่ขาดมาเป็นร้อยๆ ปีอีก
ไม่ว่าจะซานชิงแห่งลัทธิเต๋าหรือจะพระโพธิสัตว์ศาสดาของศาสนาพุทธ จริงๆ แล้วพวกท่านไม่มีความจำเป็นต้องได้รับการจุดธูปบูชาเลย การกราบไหว้พวกท่านไม่ได้ทำเพื่อให้พวกท่านได้เพลิดเพลินกับของเซ่นไหว้บูชา แต่เพื่อให้ผู้ศรัทธารับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพวกท่าน และทำให้จิตใจ สติปัญญา รวมถึงคุณธรรมของผู้ศรัทธาเข้าใกล้พวกท่านมากยิ่งขึ้น
เทพป่าอย่างกัวหยวนต้องอาศัยการกราบไหว้บูชาจากมนุษย์ล้วนๆ ถึงจะมีพลังของเทพได้ หากวันใดมนุษย์ไม่กราบไหว้เขาอีก พลังของเขาก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
ฉยงเหรินถาม “วิญญาณของคนสามารถเพิ่มพลังเทพให้คุณได้เหรอ”
“อืม” สายตาของชายหน้าบากฉายรอยยิ้มสุขสันต์ “ตอนที่ได้ทำร้ายคนอื่น หัวใจของเจ้าโง่พวกนี้ล้วนอิ่มความสุขแทบล้นออกจากปากกันทั้งนั้น ยิ่งพวกเขามีความสุข ฉันก็ยิ่งมีความสุข เจ้าสมองกลวงพวกนี้ไม่รู้เลยว่าตอนที่อาคมพลิกดวงชะตากำลังแผลงฤทธิ์ก็เท่ากับว่าพวกเขาได้บูชายัญวิญญาณของตัวเองแก่ฉันแล้ว ถ้าอาคมพลิกดวงชะตาถูกทำลาย อาคมก็จะสะท้อนกลับแรงกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าพันเท่า ฮ่าๆๆๆๆ ได้เห็นพวกมันซวย ฉันล่ะสาแก่ใจจริงๆ”
เห็นได้ชัดว่าผลงานชิ้นนี้เป็นความภูมิใจครั้งใหญ่อันดับหนึ่งในชีวิตกัวหยวน สีหน้าเวลาพูดถึงเรื่องนี้ดวงตาก็แวววาวเป็นประกาย
“ตอนแรกฉันจะเอาตุ๊กตากระดาษมาเผาตัวตายตัวแทนส่งยมโลก แล้วเอาวิญญาณของฟู่จยาเจ๋อกับเมิ่งชิงเหิงตัวจริงไป กว่ายมโลกจะสังเกตเห็นว่าวิญญาณที่ถูกส่งไปยมโลกผิดปกติฉันก็หนีไปนานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าพวกแกจะจับฉันได้ก่อน” เขาหัวเราะเบาๆ สองที “แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ วิญญาณของพวกเขาก็เป็นของฉันแล้ว ถ้าพวกแกอยากช่วยพวกเขาล่ะก็…”
“ขอบคุณ” ฉยงเหรินพลันเดินเข้าไปหาแล้วโค้งให้เขา
ชายหน้าบากขนอ่อนพลันลุกซู่ ฉยงเหรินจะมาขอบคุณเขาทำไม หรือเขาจะโดนต่อยอีก
“กะ…แกคิดจะทำอะไร”
ฉยงเหรินกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา “ขอบคุณคุณไงครับ”
คนรอบๆ ไม่มีใครเข้าใจต้นสายปลายเหตุของประโยคนี้ มีแค่เมิ่งเซินที่เข้าใจความหมายของฉยงเหรินทันทีที่ได้ยิน เขาเดินไปตรงหน้าชายหน้าบาก โค้งหัวพร้อมกล่าว “ขอบคุณเหลือเกิน”
กองตรวจการพิเศษมองหน้ากันเลิ่กลั่ก หยางอ้ายกั๋วส่งสายตาที่มีแต่คำถามไปยังสยงเหมียว สยงเหมียวส่ายหน้าเป็นการบอกว่าเธอก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
ฉยงเหรินเอ่ยแกมหัวเราะ “ผมคิดอยู่ตลอดเลยว่านรกมีภาระงานเยอะเกินไป ตั้งแต่ท่านพญายมไปจนถึงเจ้าพนักงานนรกทุกตำแหน่ง ไม่มีตำแหน่งไหนที่ไม่ลำบากเลย เพื่อทำหน้าที่ทรมานคนให้สำเร็จ เหล่ายมบาลถึงกับมีปัญหาด้านสภาพจิตใจ ไม่นึกเลยนะครับว่าจะมีคนที่เต็มใจเสียสละเป็นถังขยะให้ คุณรับพวกเขาไว้อย่างน้อยก็ลดขยะที่ต้องรับโทษหลายพันปีในนรกได้ ไม่รู้เลยว่าคุณลดงานให้นรกไปมากแค่ไหน ขอบคุณจริงๆ ครับ ผมต้องขอโค้งคำนับคุณอีกครั้ง”
เมิ่งเซินรอให้ฉยงเหรินพูดเสร็จก็ยกสองมือขึ้นประนม “หวังว่าอนาคตคุณจะจัดการกับขยะรีไซเคิลไม่ได้พวกนี้เยอะๆ ขอบพระคุณ”
ทั้งคู่โค้ง 90 องศาให้ชายหน้าบาก
ชายหน้าบาก “…”
นี่ไม่ใช่ตอนจบที่เขาคิดไว้เลย ตำรวจกับยมบาลพวกนี้ไม่ใช่คนดีเหรอ คนดีไม่ใช่ควรพูดว่าชีวิตของผู้กระทำผิดก็คือชีวิต จากนั้นก็เริ่มเกมแมวไล่จับหนูกับเขาเพื่อชีวิตของขยะทั้งสามนั่นไม่ใช่เหรอ
แล้วเขาก็จะได้ฉวยโอกาสตอนนั้นหนีไง
มันเพราะอะไรกันแน่ ทำไมคนพวกนี้ถึงไม่ออกไพ่ตามธรรมเนียมเดิมล่ะ
เขาไม่เข้าใจ!
หลังจากสอบสวนข้อมูลอย่างด่วนที่สุดมาได้คร่าวๆ แล้ว หยางอ้ายกั๋วก็ตัดสินใจคุมตัวกัวหยวนกลับกองตรวจการพิเศษ
ทว่าฉยงเหรินคิดว่าเรื่องราวมันอาจไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ชายหน้าบากพูด
เห็นได้ชัดว่าชายหน้าบากมีรสนิยมแปลกๆ เขาเอาหยกสลักมาใช้สร้างเรื่องหลอกชาวบ้านตอนที่พวกเขาร้อนรนกับการขอฝน และการที่ผู้กระทำผิดไม่รู้ตัวว่าที่จริงแล้วตนเองต่างหากที่เป็นผู้เสียหายด้วย ล้วนเป็นเพราะความสนุกสนานของตนเองทั้งนั้น
ทั้งๆ ที่วันนี้เขาบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้วแท้ๆ เขาสามารถพาวิญญาณของผู้ตายที่ชื่อว่าเฉิงรุ่ยเจ๋อจากไปได้ แต่ดันอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรอดูละครฉากที่ฉยงเหรินต้องเจ็บปวดเพราะสูญเสียเพื่อนสนิท
แต่ละเรื่องราวล้วนบ่งบอกว่าคนคนนี้เลวร้ายตั้งแต่สันดานเดิม ควรส่งไปปรับทัศนคติที่นรกอเวจี
ทว่าอารมณ์ของคนนิสัยแบบนี้ต่างจากความอิจฉาริษยาซึ่งปรากฏขึ้นกับทุกเรื่องที่เขาเจอมาก่อนหน้านี้
ฉยงเหรินเดินมาถึงครึ่งเนินเขา พลันฉุกนึกถึงประโยคที่หวังป๋อตวนพูดระหว่างปีนขึ้นเนินนี้ออก
สถานที่นี้เหมาะกับการสร้างศาลเจ้า ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัย
เขาหันกลับไปมองก็ค้นพบว่าโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างนี้ความจริงแล้วคล้ายคลึงกับศาลเจ้ามาก เพียงแค่ถูกปรับแต่งให้เป็นแบบตะวันตก ถ้าเปลี่ยนโครงสร้างของมันให้เป็นผนังสีแดงกับกระเบื้องก็จะคล้ายกับศาลอารามทั่วไปแล้ว
สถานที่ที่กัวหยวนใช้บูชาป้ายเทพเจ้าของตัวเองอยู่ที่ชั้นสอง ถ้าหากคฤหาสน์คือศาล เช่นนั้นห้องรับแขกก็คือตำแหน่งตำหนักกลาง เทวรูปก็ควรถูกจัดวางไว้ที่นั่น
“เดี๋ยวก่อน” ฉยงเหรินกล่าว “ในคฤหาสน์ยังบูชาอะไรอีก หรือซ่อนศาลเจ้าอะไรไว้ข้างในอีก…”
พริบตาที่คำพูดออกจากปากฉยงเหริน ชายหน้าบากนามกัวหยวนก็มีสีหน้าตึงเครียดอย่างหนักทันทีทันใด ถึงเขาจะสวมบทเป็นตัวร้ายแสนสง่าจนติดเป็นนิสัยแล้ว แต่คำพูดของฉยงเหรินพลันแตะเข้ากับสิ่งที่มีน้ำหนักที่สุดในใจเขา จนทำให้เขาถึงกับควบคุมสีหน้าตัวเองไม่อยู่
สยงเหมียวได้รับไฟล์เสียง ‘นักล่าแสง v. มลพิษทางจิตใจ’ มาแล้ว เธอยกหูฟังขึ้นขู่ “จะพูดไหม”
เหงื่อเย็นเฉียบเม็ดโตหลั่งไหลตามหน้ากัวหยวน ทำให้ใบหน้าที่เกรอะกรังไปด้วยเลือดและขี้เถ้าดูสกปรกยิ่งกว่าเดิม
“ฉันพูดไม่ได้” เขาเห็นสยงเหมียวเข้ามาใกล้กว่าเดิม จึงอธิบายด้วยความเร็วแสง “ไม่ใช่เพราะฉันไม่อยากพูด แต่เพราะฉันพูดไม่ได้” ร่างเขาสั่นระริก “ทางที่ดีพวกแกอย่าขุดคุ้ยเรื่องนี้เลยดีกว่า ฉันไม่ได้จะขู่พวกแกนะ ฉันแค่ไม่อยากตายไปพร้อมกับพวกแก”
หวังป๋อตวนมองไปยังคฤหาสน์บนเนินเขา เอ่ยงึมงำ “ถ้าเป็นศาลเจ้า เทวรูปที่เอาไว้บูชาก็น่าจะอยู่ในห้องรับแขก”
พวกเขารีบร้อนแต่จะขึ้นไปช่วยเหลือคนที่ชั้นสอง แล้วบันไดก็ยังอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครไปตรวจสอบห้องรับแขกอย่างละเอียดเลย
มีแต่หยางอ้ายกั๋วที่ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอาชญากรรมมานับปี เขาจึงมักจะสำรวจทุกที่ที่เขาเดินผ่านเป็นนิสัย เขานึกย้อนแล้วกล่าว “ในห้องรับแขกมีรูปแกะสลักหยกอันหนึ่งวางอยู่ สูงครึ่งตัวคน ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าเจ้าของบ้านนี้รวยจริงๆ หยกชุนไต้ไฉ่* แบบนี้ไม่นึกว่าจะหาก้อนใหญ่ทั้งก้อนมาแกะสลักเป็นคนได้ด้วย แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าหน้าตาของหยกสลักนั่นเป็นแบบไหน”
สยงเหมียวขันอาสา “ฉันจะกลับไปดูค่ะ”
“ห้ามไปนะ ฉันยังไม่อยากตาย!”
ชายหน้าบากหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง ทั้งร่างเขาสั่นเทิ้ม เหงื่อเย็นไหลพราก ไม่เหมือนกับสร้างสถานการณ์เพื่อตบตาพวกเขา
ฉยงเหรินเหลือบมองคฤหาสน์บนเนิน สิ่งที่ทำให้ชายหน้าบากกลัวได้ต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในคฤหาสน์นั่นแน่นอน
ถ้าหากโถงห้องรับแขกเป็นตำหนักหลัก เป็นไปได้กว่าครึ่งว่างานหยกแกะสลักนั่นก็คือพระประธานของ ‘ศาลเจ้า’ แห่งนี้
“พวกเราอยู่ในคฤหาสน์นั้นตั้งนานก็ยังไม่เห็นเป็นไรเลย” ฉยงเหรินจ้องตาชายหน้าบาก “ทำไมจู่ๆ ก็กลัวขนาดนี้เลยล่ะครับ”
ชายหน้าบากส่ายหน้ารัวด้วยความวิตกจริต “ฉันพูดไม่ได้”
หยางอ้ายกั๋วเป็นคนใจนิ่ง เขาขบคิดครู่หนึ่ง แล้วว่า “ให้คนเฝ้ารักษาการณ์อยู่รอบๆ ก่อนเถอะ ส่วนเรื่องจะทำยังไงดีไว้ค่อยไปขอความเห็นจากเจ้าหลักเมือง แล้วทุกคนค่อยมาคุยแผนกันทีหลัง”
คนอื่นๆ เองก็ไม่มีความเห็นต่างกับการตัดสินใจนี้
ชายหน้าบากสีหน้าพลันปรากฏแววหวาดผวา ปากพึมพำท่องอะไรบางอย่าง เจ้าหน้าที่ตำรวจกลัวว่าเขากำลังจะท่องคำสาปแช่งเลยขยับเข้าประชิด ถึงได้ยินว่าชายหน้าบากกำลังพูดคำเดิมซ้ำๆ ไปมา
“เขาตื่นแล้ว”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเหลอหลา “ใครตื่น”
สีหน้าของเขานิ่งค้างไปแล้ว หรือว่า…
เสียงกัมปนาทดังสนั่นออกมาจากคฤหาสน์ ตัวคฤหาสน์แตกออกเป็นสองฝั่ง สาดแสงพร่างพราวลานตาออกมา
อิฐแตกกระจายไปทั่ว ทุกคนก้มตัวลงหลบพร้อมกัน ก่อนที่จะลุกขึ้นอีกครั้งหลังจากเสียงระเบิดสงบลงแล้ว โชคดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ฉยงเหรินหลังลุกขึ้นได้แล้วก็นึกอยากปัดฝุ่น แต่กลับพบว่าตัวเขาสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นสักเม็ดตกใส่เขา ต่างจากคนอื่นๆ ที่หัวเทาหน้าเปื้อนฝุ่นโดยสิ้นเชิง
เมิ่งเซินเห็นผมหยักศกเป็นลอนน้อยๆ ของเขาสะอาดสะอ้านก็เบิกตากว้างด้วยความเหลือเชื่อ “เป็นไปได้ยังไง อย่าบอกนะว่าความหน้าตาดีสามารถปกป้องฝุ่นดินได้ด้วย…”
ฉยงเหรินคิดในใจ แค่หน้าตาดีอย่างเดียวดูเหมือนจะทำไม่ได้นะ แต่ถ้าหน้าตาดีแล้วมีรูมเมตเป็นพญายมราชด้วยก็ไม่แน่
ตลอดทางท่านพญายมยังคอยช่วยตัดกุญแจให้ตลอด แถมช่วยเขาบังฝุ่นด้วย ไม่เห็นรักษาข้อตกลงที่ว่าจะกลับยมโลกครึ่งเดือนเลย
แต่เอาจริงๆ ความหมายของเขาเดิมทีคือให้ท่านพญายมกลับยมโลกไปก่อนครึ่งเดือนแล้วค่อยกลับบ้าน แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้าน เพราะฉะนั้นก็ยังไม่นับว่าท่านพญายมผิดสัญญา
อื้มๆ
แบบนี้แหละ
“นั่นอะไร” สยงเหมียวชี้ไปยังจุดที่พังของคฤหาสน์ เทวรูปหยกชุนไต้ไฉ่องค์หนึ่งเดินออกมาจากตรงนั้น
เทวรูปหยกเหยียดเท้าย่างก้าวมาทางพวกเขา และค่อยๆ สูงขึ้นทุกหนึ่งย่างก้าวที่เข้าใกล้ สีเขียวและสีม่วงบนกายค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นลักษณะของมนุษย์คนหนึ่ง ซ้ำเสื้อผ้ายังเป็นชุดยอดนิยมอย่างเสื้อยืดกางเกงยีน
“กัวหยวน เจ้ามันไร้ประโยชน์จริงๆ เรื่องแค่นี้ก็ยังทำพลาดได้” เทวรูปหยกปรายตาทอดตกไปที่ฉยงเหรินก็ราวกับแผ่นสะดุด ไม่หันไปมองคนอื่นอีก น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ฉยงเหรินใช่ไหม เจ้าหน้าตาดีมากจริงๆ”
ฉยงเหรินไร้ซึ่งความเกรงใจ “ส่วนคุณก็หน้าตาชวนอ้วกมากเลยครับ”
เทวรูปหยกที่กลายร่างเป็นมนุษย์หน้าตามิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ ถึงขั้นเรียกได้ว่างดงาม แต่ไม่มีทางเทียบชั้นกับฉยงเหรินที่สามารถฉุดหน้าตาของสิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน 99.99999999%* ลงมาจากอันดับได้จริงๆ
เทวรูปหยกสะอึก แต่ก็ไม่ได้โมโห ยิ้มกล่าว “ขยะชิ้นนี้ยังมีประโยชน์กับข้าอยู่บ้าง เรามาตกลงกันดีกว่าไหม ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ารอดกลับไป พวกเจ้าก็ปล่อยเขามาให้ข้า ดีไหม”
ชายหน้าบากได้ยินประโยคนั้นก็กลัวหัวหด กระโจนกอดตำรวจที่คุมตัวเขา ไม่เห็นท่าทางโอหังวางมาดเป็นเทพยดาเหมือนเมื่อกี้อีกต่อไป “แกคือตำรวจ แกต้องปกป้องฉัน ใช่ไหม ฉันไม่อยากกลับไปกับเขา ฉันให้การกับพวกแกไปแล้ว เขาต้องไม่ปล่อยฉันไปแน่ ฉันยังไม่อยากตาย”
เทวรูปหยกมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ ยิ้มพลางถอนหายใจ “เจ้านี่มันไม่เชื่อฟังกันเลยน้า เราก็อยู่ร่วมกันดีๆ มาโดยตลอดเลยมิใช่หรือ”
หยางอ้ายกั๋วเอาตัวเองบังกัวหยวนไว้ ผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดยังสารภาพข้อเท็จจริงของอาชญากรรมไม่หมด ใครจะรู้ว่ายังมีผู้เสียหายซ่อนอยู่อีกเท่าไหร่ เพื่อคนเหล่านั้นกัวหยวนยังตายไม่ได้
เมิ่งเซินเตือนเขา “นี่คือผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดคดีใหญ่ที่กองตรวจการพิเศษและเจ้าหลักเมืองหลงเฉิงร่วมมือกันสอบสวนและลงโทษ คุณต้องคิดถึงผลที่ตามมาให้ดี”
เทวรูปหยกยกมุมปาก “ตั๊กแตนชูขาขวางรถ”*
จู่ๆ รอบทิศก็กลายเป็นความเงียบสงัด ไม่ว่าจะเมิ่งเซิน สยงเหมียว หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นต่างก็ไม่มีใครสามารถขยับเขยื้อนกายได้ เทวรูปหยกก้าวไปข้างหน้า คิดจะพาตัวกัวหยวนไป
ฉยงเหรินเดินมายืนตรงหน้ากัวหยวนเงียบๆ กัวหยวนไม่คาดคิดเลยว่าคนที่เพิ่งทุบตีเขาอยู่เมื่อกี้ตอนนี้จะมาช่วยเขาด้วย แต่ที่เขาคาดไม่ถึงยิ่งไปกว่านั้นคือฉยงเหรินยังคงเดินเหินเคลื่อนกายได้เหมือนเดิม
“วิชาสะกดร่างของข้าไม่ได้ผลกับเจ้าจริงๆ ด้วย ถอยออกไปหน่อยนะ ตกลงไหม” เวลาเทวรูปหยกพูดกับฉยงเหริน น้ำเสียงนั้นช่างอ่อนโยนราวกับกำลังคุยกะหนุงกะหนิงกับคนรัก “ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าเลย”
เมิ่งเซินร้อนใจจนเหงื่อผุดซึม เขาพยายามถอดวิญญาณ ก่อนหน้านี้ตอนเป็นยมทูตคนเป็นเขาสามารถถอดวิญญาณออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้กลับทำอะไรไม่ได้เลย
เทวรูปหยกถอนหายใจแผ่ว “ทำไมต้องเสียแรงเปล่าด้วย” เขายื่นมือไปทางฉยงเหริน “ข้าชอบเจ้ามากเลยนะ อย่าทำให้ข้าลำบากใจสิ”
จู่ๆ อากาศในที่นี้ก็ร้อนระอุ ทุกคนต่างรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเลือนรางสั่นสะเทือนพร้อมกัน
เท้าข้างหนึ่งก้าวย่างออกมาจากห้วงอากาศว่างเปล่าเป็นอันดับแรก ปลายเท้าจรดเหยียบลูกไฟรูปร่างดุจโกกนุท หลังจากย่างก้าวนี้ออกมาเหยียบย่ำ ชายรูปงามหล่อเหลาจนต้องหยุดหายใจคนหนึ่งก็ปรากฏกายออกมาที่บนเนินเขาแห่งนี้
เรือนผมสีน้ำตาลของเขาแผ่สยาย ท่อนบนเปลือยเปล่า มือ เท้า และลำคอล้วนแล้วแต่ตบแต่งด้วยเครื่องประดับตระการตา เขาสีแดงฉานสองข้างยื่นออกมาจากหน้าผาก กลิ่นอายความดุดันเปี่ยมล้นอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลทอง คล้ายว่าความชั่วร้ายทั้งภพภูมิต่างรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทำให้ใครก็ไม่กล้ามองนานเกินไปแม้แต่วินาทีเดียว
เทวรูปหยกสีหน้าย่ำแย่ในพริบตา แต่เขาเสียอาการเพียงครู่เดียวก็กลับมาควบคุมสีหน้าตัวเองได้
สยงเหมียวร้องกรี๊ดอยู่ในใจ นี่ต้องเป็นปีศาจที่หนีออกมาจากนรกแน่เลย!
พริบตาที่ได้เห็นเขาความหวาดกลัวในใจสยงเหมียวก็ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด ถ้าไม่ใช่เพราะเธอถูกเทวรูปหยกสะกดร่างไว้จนขยับไปไหนไม่ได้ ตอนนี้ก็คงวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดหนีไปแล้ว
นายตำรวจทั้งหลายก็ตกใจจนเครื่องในจวนฉีกขาด แม้คนคนนี้จะไม่ได้ทำอะไรเลย หน้าตาก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ขอแค่เหลือบมองเขาเพียงปราดเดียว พวกเขาก็ต้องรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง
เทวรูปหยกเผยยิ้มอ่อนดุจกำลังอาบลมวสันต์ “เหตุใดท่านจึงขึ้นมายังที่แห่งนี้เล่า หรือท่านก็สนใจกัวหยวนเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะยกเขาให้ท่านก็ได้”
ชายในร่างประดุจปีศาจมองมาทางเขาด้วยความสงบนิ่ง เอ่ยเสียงหนักแน่น “จงแตกร้าว”
วาจาสิทธิ์บังเกิดผลทันใด
ร่างของเทวรูปหยกแตกร้าวในฉับพลัน บนผิวกายปรากฏรอยแตกระแหงอย่างต่อเนื่อง เนื้อบนมือและขาร่วงพรูลงมาเป็นชิ้นๆ หลังร่วงลงพื้นมันก็เปลี่ยนกลับไปเป็นเศษหยก
ใบหน้าของเทวรูปหยกยังคงยิ้ม “ข้าไปล่วงเกินท่านตรงไหนหรือ”
ทุกถ้อยคำที่เขากล่าวล้วนได้ยินเสียงหยกกระทบในลำคอและเส้นเสียงที่แตกร้าว
มันคือเสียงหยกร้าวที่เสียดสี
ฉยงเหรินเดินไปข้างๆ ชายที่หน้าตาเหมือนปีศาจเงียบๆ แล้วสะกิดแขนอีกฝ่าย
สยงเหมียวถลึงตาแทบหลุด ตกใจจนตับสั่น กลัวว่าวินาทีถัดมาจะเห็นฉยงเหรินกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ
ทว่าแววตาปีศาจกลับอ่อนโยนลง โน้มตัวลงมาเล็กน้อย คล้ายกำลังรอคำพูดของฉยงเหริน ท่าทางที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้ทุกคนตะลึงงัน พายุไต้ฝุ่นระดับสิบก็ก่อตัวขึ้นในใจกัวหยวน คราวนี้เขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าขาที่ยื่นออกมาแล้วหดกลับไปของท่านนั้นหมายความว่ายังไงกันแน่
“เมื่อกี้เขายื่นมือมาทางผม ผมคิดว่าเขาอยากทำร้ายผมแน่เลย ผมกลัวมากเลยครับ”
ฉยงเหรินเงยหน้าพูดกับปีศาจ น้ำเสียงจริงใจอย่างที่สุด ราวกับเป็นความจริงทุกถ้อยคำ
ชายผู้ดุจปีศาจร้ายหันหน้ามองเทวรูปหยก “อยากทำร้ายเขา? แล้วยังทำให้เขากลัวด้วย?”
เทวรูปหยก “…”
เทวรูปหยกไม่เข้าใจ แต่เขากำลังช็อกอย่างแรง
เขาไม่นึกว่าคนที่มีคำว่า ‘แบบอย่างแห่งคุณธรรม’ เขียนไว้บนหน้าอย่างฉยงเหรินจะใช้วิธีการชนเครื่องปั้นดินเผา* แล้วยังทำสำออยเก่งด้วย นี่เขายังไม่ทันได้แตะฉยงเหรินแม้แต่ขนอ่อนสักเส้นเลยนะ
ชนเครื่องปั้นดินเผาไม่สนใครขนาดนี้ ด้วยนิสัยของท่านพญายมก็ไม่นึกเลยว่าจะตามน้ำไปกับฉยงเหรินด้วย…
ดูท่าผู้ที่ทำให้ท่านพญายมราชปรากฏตัวที่นี่ได้ต้องเป็นฉยงเหรินอย่างไม่ต้องสงสัย
รอยยิ้มอบอุ่นของเทวรูปหยกเย็นเยียบลงเล็กน้อย “เจ้ายังโชคดีเหมือนเดิมเลยนะ ฉยงเหริน”
ฉับพลันร่างของเขาก็ระเบิดออก เศษหยกพุ่งไปหากัวหยวนพร้อมกัน พญายมราชแตะนิ้วชี้และนิ้วกลางอันแหลมคมไว้ที่ริมฝีปากตัวเอง เอ่ยเสียงแผ่ว “จงดับสูญ”
ร่างที่แหลกไม่มีชิ้นดีของเทวรูปหยกหยุดค้างกลางอากาศ ก่อนสลายกลายเป็นผุยผงอย่างไร้สุ้มเสียง โปรยลงตรงหน้ากัวหยวนเป็นกองผง
ฉยงเหริน “ตายแล้วเหรอครับ”
พญายมราช “แค่หนึ่งร่างแยกของเทพ ร่างนี้สลายไปก็ยังมีร่างอื่นอีก”
เมื่อเทวรูปหยกสลายหายไป ในที่สุดร่างกายของพวกสยงเหมียวก็กลับมาเป็นอิสระ ความหวาดกลัวอย่างรุนแรงทำให้พวกเขาอยากหันหลังสาวเท้าวิ่งหนี แม้ว่าสติสัมปชัญญะของพวกเขาจะรู้ดีว่าผู้ที่เหมือนปีศาจร้ายผู้นี้เป็นไปได้มากกว่าครึ่งที่จะเป็นพวกเดียวกัน แต่สติสัมปชัญญะของคนมักจะพ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณเสมอ
แม้แต่ร่างกายของเมิ่งเซินก็ยังแข็งทื่อ เขาค่อยๆ หันไปทำความเคารพต่อพญายมราช “ขอคารวะ เยี่ยนหมัวต้าหวัง”
นี่คือท่านพญายมราชเหรอ
นี่แม่งคือพญายมราชเลยเหรอ
ทั้งๆ ที่เขาเหมือนปีศาจร้ายมากกว่าปีศาจร้ายทั้งหมดที่พวกเขาเคยเจอมา
พวกสยงเหมียวต่างเผยสีหน้าเหมือนคนไม่เคยออกมาเจอโลก ทั้งกลัว ทั้งอึ้ง อยากวิ่งหนีแต่ก็ไม่กล้าหนี
ท่านพญายมไม่พูดอะไร เพียงมองพวกเขาสายตาเรียบเฉย
สายตาของเขาราวกับหนักพันจวิน กดหัวพวกเขาทุกคนอย่างหนักหน่วง พวกเขาหัวใจเต้นเร็วรัว ตอนนี้สยงเหมียวได้รู้แล้วว่าใจเต้นจนแทบหลุดออกมาจากคอไม่ใช่แค่การพรรณนา แต่อาจเป็นเรื่องจริงได้ด้วย ฉยงเหรินเอ่ย “พวกคุณจะคุมตัวกัวหยวนกลับไปสอบสวนไม่ใช่เหรอครับ เลิกยืนเหม่อกันได้แล้ว”
เสียงของฉยงเหรินคล้ายมีเวทมนตร์บางอย่าง ปลดเปลื้องบรรยากาศน่ากลัวนี้ออกไปได้ในชั่วพริบตา เหล่านายตำรวจเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก แล้วพากัวหยวนออกไปจากที่นี่เร็วไวประดุจติดปีก
หวังป๋อตวนยังอยากจะแอบลากตัวฉยงเหรินไปด้วย ทว่าเขากลับถูกเมิ่งเซินกระชากลากถูไปก่อน
เมิ่งเซิน “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
หวังป๋อตวนดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย “เขาดูอันตรายมาก ฉันจะทิ้งอาจารย์ฉยงไว้คนเดียวไม่ได้”
เมิ่งเซินหมดคำจะกล่าว “เขาเป็นคู่รักกันก็ให้เขาอยู่ด้วยกัน จะไปเป็นกขค. ทำไม ไม่เห็นเหรอ พวกสยงเหมียวพอรู้ว่าท่านผู้นี้เป็นใครก็วางใจแล้วหนีกลับไปแล้ว มีแค่นายที่เป็นห่วงฉยงเหรินหรือไง สองคนนั้นเขาเป็นคู่ชิปของประชากรยมโลกกันตั้งนานแล้ว”
หวังป๋อตวนหยุดดีดดิ้น ขายังค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองได้ยินอะไรไป
“แต่อาจารย์ฉยงเหรินเขามีแฟนแล้วไม่ใช่เหรอ คนที่ชื่อว่าเหยียนโม่”
เมิ่งเซิน “เหยียนโม่ เยี่ยนหมัวต้าหวัง เข้าใจอะไรบ้างหรือยัง”
หวังป๋อตวนตกสู่สภาวะสติหลุดชั่วขณะ แล้วก็ถูกเมิ่งเซินลากตัวออกไปอย่างกับลากน้องหมาไร้วิญญาณ
พญายมราชมองคนเหล่านั้นล้มลุกคลุกคลานหนีจากไป แล้วพูดด้วยสายตาที่อ่านอารมณ์ใดไม่ออก “พวกเขากลัวฉัน”
ฉยงเหรินหัวใจบีบรัดอย่างปวดใจ
แน่นอนว่าเขาสามารถเอ่ยปลอบได้ว่าเป็นเพราะร่างปีศาจของอีกฝ่าย แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่าคำพูดพวกนี้ไม่อาจทำให้ท่านพญายมราชรู้สึกดีขึ้นได้
ในตอนที่ยังไม่รู้จักพญายมราชเขาก็เคยได้ยินคำพูดแสดงความเห็นถึงท่านพญายมจากปากเจ้าพนักงานในยมโลกมามากมายหลายครั้ง และส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนบ้างานที่เย็นชาไร้ความรู้สึก น่ากลัวอย่างสุดซึ้ง และเข้าถึงยาก
ทั้งที่ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยแท้ๆ
ฉยงเหริน “คุณจำได้หรือเปล่า ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกคุณบอกว่าคุณนอนไม่หลับเพราะฟังเพลงของฉยงเหริน ตอนนั้นผมแนะนำให้คุณด่านักร้องคนนี้เพื่อระบายอารมณ์ แต่คุณกลับบอกผมว่าโลกนี้มีคนที่แพ้แสงแดด แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของพระอาทิตย์”
พญายมราชพยักหน้าเงียบๆ “อืม”
ฉยงเหรินพูดต่อ “ที่มีคนกลัวพระอาทิตย์ก็เป็นเพราะพวกเขาแค่กลัวถูกแดดเผา ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเกลียดพระอาทิตย์นะครับ บางคนก็ชอบพระอาทิตย์มาก ต่อให้พระอาทิตย์จะร้อนมาก แต่ก็ยังอยากโอบกอดเขา”
ฉยงเหรินรวบตัวพญายมราชมากอด แนบใบหน้ากับผิวกายร้อนระอุของเขา
ในที่สุดพญายมราชก็ตระหนักได้ว่าที่แท้ฉยงเหรินกำลังปลอบเขาอยู่
เขาวางคางคลอเคลียกับผมนุ่มๆ ของฉยงเหริน “ฉันไม่รู้สึกเศร้าเสียใจกับเรื่องพวกนี้ตั้งนานแล้ว”
พญายมราชชินกับการถูกคนอื่นกลัวแล้ว มาถึงขั้นที่ไม่รู้สึกว่าการมีคนกลัวเขาเป็นเรื่องที่สมควรได้รับการปลอบโยนอะไรด้วยซ้ำ
“ถึงอย่างนั้น…”
แต่เขาก็ชอบที่ฉยงเหรินปวดใจแทนเขา แล้วก็ชอบถูกฉยงเหรินกอดด้วย
ฉยงเหรินพูดอู้อี้อยู่ในอ้อมอกเขา “พอได้กอดแล้วดีขึ้นเยอะเลยใช่ไหมครับ”
“อืม” พญายมราชรัดแขนที่โอบกอดเขาให้แน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนพูดข้างหูเขา “ไม่คิดว่าเธอจะจำได้ด้วย”
ฉยงเหรินลอบลำพองอยู่ในใจเงียบๆ “ผมความจำดีมากนะ คำพูดที่คุณพูดกับผมส่วนใหญ่ผมจำได้หมดเลย”
“จริงเหรอ” พญายมกอดเขาพลางกล่าว “งั้น…วันที่ฉันจูบเธอ ทุกครั้งที่กัดและดูดปลายลิ้นของเธอ เธอจะกอดฉันแน่นกว่าครั้งไหน ฉันถามเธอว่าชอบหรือเปล่า เธอก็อื้ออึงไม่ยอมตอบ ในเมื่อเธอจำได้ งั้นบอกฉันได้หรือเปล่าว่าตกลงเธอรู้สึกดีหรือไม่ดีกันแน่ ฉันอยากรู้มากๆ”
ฉยงเหริน “…”
เขาผลักพญายมราชออกอย่างแรง ตะคอกด้วยใบหน้าแดงแปร๊ดถึงหู “สวมเสื้อสักตัวเถอะคุณน่ะ!”
เอาบรรยากาศน่าตื้นตันใจของเขากลับมานะไอ้บ้า!
* ฤกษ์ยาม 64 กว้า หรือฤกษ์ยาม 64 ข่วย เป็นหลักฮวงจุ้ยขั้นสูงอย่างหนึ่ง
** ปิดทองบนหน้าตัวเอง เป็นการอุปมาว่ายกย่องตัวเอง สำคัญตัวเอง
* หยกชุนไต้ไฉ่ เป็นหยกที่มีสีม่วงไวโอเลตผสมกับสีเขียวนวล
* สิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน เป็นคำฮิตบนอินเตอร์เน็ต หมายถึงคน ส่วนมากมักจะใช้ในเชิงชมหรือด่าก็ได้ เช่น ‘นี่หน้าตาที่สิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสร้างขึ้นมาเหรอ’ หรือ ‘นี่เป็นเรื่องที่สิ่งมีชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานทำได้จริงๆ เหรอ’ เป็นต้น
* ตั๊กแตนชูขาขวางรถ มาจากสำนวนเต็มที่ว่ามดโยกคลอนต้นไม้ใหญ่ ตั๊กแตนชูขาขวางรถ หมายถึงไม่รู้จักประเมินกำลังตนเอง แต่คิดหวังทำสิ่งที่เกินกำลังอย่างไม่เจียมตัว
* ชนเครื่องปั้นดินเผา เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่แสร้งว่าถูกทำร้ายโดยผู้อื่นเพื่อจะได้รับเงินชดเชย
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 3
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN