everY
ทดลองอ่าน ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2 บทที่ 43-44 #นิยายวาย
ทดลองอ่าน เรื่อง ฮ่องเต้โฉมงามพลิกแผ่นดิน เล่ม 2
ผู้เขียน : 望三山 (Wang San Shan)
แปลโดย : เฉินซุ่นเจิน
ผลงานเรื่อง : 我靠美颜稳住天下 (Wo Kao Mei Yan Wen Zhu Tian Xia)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
มีการกล่าวถึงความรุ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 43
ดีที่ถ้ำแห่งนี้ขนาดใหญ่มาก จึงมีพื้นที่เพียงพอให้คนยี่สิบสามสิบคนเข้าไปอยู่ดังเช่นตอนนี้
เถียนฝูเซิงซึ่งรออยู่ในค่ายเกรงว่าฮ่องเต้จะหิว จึงได้สั่งให้ทหารม้าทุกนายพกขนมอบที่ห่ออย่างแน่นหนาไว้ด้วย กลุ่มผู้คุ้มกันของเหอชินอ๋องมีความละเอียดอ่อนยิ่งนัก ขณะหยิบขนมอบออกมามันจึงยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
กู้หยวนไป๋ไม่หิว จึงให้เหล่าทหารองครักษ์แบ่งกันกิน
จะว่าไปก็บังเอิญยิ่ง หลังจากเหล่าทหารองครักษ์กินขนมเสร็จฝนด้านนอกก็เริ่มซา ไม่นานท้องฟ้าก็สว่างสดใสขึ้นมาอีกครั้ง แสงแดดจ้าสาดส่องแผ่นดินกว้างใหญ่ ลมพายุได้หยุดลงแล้ว
กู้หยวนไป๋เดินนำหน้าออกไป พื้นด้านนอกเป็นโคลน มันปกคลุมเต็มรองเท้ามังกรทั้งยังลื่นเล็กน้อย ขณะที่เหอชินอ๋องซึ่งอยู่ด้านข้างกำลังลังเลว่าควรยื่นมือออกไปประคองกู้หยวนไป๋ดีหรือไม่ เซวียหย่วนที่อยู่อีกข้างก็ยื่นมือออกไปก่อนแล้ว มือข้างหนึ่งของเขาจับมือของกู้หยวนไป๋ไว้ ส่วนมืออีกข้างวางไว้ที่เอวด้านหลัง ก่อนยิ้มกว้างเอ่ย “ฝ่าบาทก้าวเดินระวังนะพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ละย่างก้าวของกู้หยวนไป๋นั้นมั่นคงยิ่ง ชายเสื้อที่ระอยู่ข้างเท้าสะบัดไปมาจนเปื้อนโคลนเป็นจุดดำๆ ระหว่างที่เดิน
เซวียหย่วนเห็นจุดโคลนเหล่านี้แล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก เขาก้มลงและยกเสื้อคลุมด้านหลังกู้หยวนไป๋ขึ้น กู้หยวนไป๋ก้มลงชำเลืองมองใบหน้าของเขาแวบหนึ่งก่อนละสายตากลับ อีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะมองมากกว่านี้แม้แต่ชั่วขณะเดียว และไม่แม้แต่จะยิ้มให้เซวียหย่วนด้วยซ้ำ
เขายังโกรธอยู่
ม้าถูกคนจูงออกมาแล้ว ก่อนจะถูกเสื้อคลุมตัวที่ยังสะอาดเช็ดน้ำฝนและแผงขนด้านบนอีกครั้ง กู้หยวนไป๋พลิกตัวขึ้นม้าแล้วเหลือบมองเซวียหย่วน จงใจใช้สายตามองไปยังส่วนล่างของเขา มุมปากยกขึ้น กระซิบด้วยน้ำเสียงรังเกียจระคนเย็นชา “เจ้าเดรัจฉาน”
ประโยคนี้เบามาก มีเพียงเซวียหย่วนที่ได้ยิน
เซวียหย่วนเงยหน้าขึ้นก็สบกับสายตาของฮ่องเต้ที่มองลงมาจากบนหลังม้า
บังเหียนถูกควบคุม มุมปากที่ยกขึ้นของกู้หยวนไป๋แฝงด้วยความเหยียดหยัน ม้าหันตัวอย่างเชื่อฟัง ก่อนน้ำโคลนที่กีบม้าย่ำลงไปนั้นจะกระเซ็นขึ้นใส่เต็มตัวเซวียหย่วน เซวียหย่วนหลับตาลง ทอดถอนใจแล้วก้มลงมองเสื้อคลุมของตน เจ้าของเสื้อชั้นต่ำที่ถูกฮ่องเต้ด่าว่าเป็น ‘เจ้าเดรัจฉาน’ แหงนหน้าขึ้นมาเล็กน้อย
เซวียหย่วนรำพันกับตัวเอง “ถูกด่าแล้วเหตุใดเจ้ายังแหงนหน้าขึ้นไปอีกเล่า”
พื้นที่ล่าสัตว์นั้นชุ่มแฉะ น้ำฝนทำให้พื้นลื่นจนไม่สามารถล่าสัตว์ได้แล้ว ทว่างานล่าสัตว์ปลอบใจฝ่าบาทยังคงดำเนินต่อไป
พื้นที่ในค่ายได้ถูกจัดสรรทำความสะอาดไว้แล้ว เนื้อที่ใช้สำหรับย่างถูกนำมารวมไว้ด้วยกัน หนึ่งในนั้นมีหมีที่เซวียหย่วนเป็นคนล่าซึ่งดึงดูดความสนใจจากทุกคนเป็นอย่างมาก คนที่ผ่านไปผ่านมาล้วนต้องมองมาปราดหนึ่ง
กู้หยวนไป๋ยกอุ้งเท้าหมีที่เซวียหย่วนตัดมาเป็นรางวัลให้เขานำกลับไปที่จวนสกุลเซวียแล้ว จากนั้นก็ตกรางวัลคนที่ควรได้ ปลอบใจคนที่ควรปลอบใจ พ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการจัดการส่วนผสม กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูกจากที่ไกลๆ
กู้หยวนไป๋ล้างมือและสั่งให้คนทำเตาย่างอย่างง่ายขึ้นมา เมื่อจุดไฟเผาถ่านผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ติดตามสังเกตฮ่องเต้เพื่อเรียนรู้การทำเนื้อย่างอย่างกระตือรือร้น
“ใต้เท้าทุกท่าน” กู้หยวนไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “หลายวันมานี้ต้องลำบากพวกท่านแล้ว วันนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่ เมื่อกลับไปแล้วยังต้องยุ่งกับงานกันอีกครั้ง”
เหล่าขุนนางกล่าวรับคำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวว่าสามารถแบ่งเบาความกังวลของฮ่องเต้ได้ ไม่นับว่าลำบากเลย
กู้หยวนไป๋ยิ้มบางๆ บังเอิญว่ามีพ่อครัวจากห้องเครื่องหลวงผู้หนึ่งนำข้าวสารไปล้าง กู้หยวนไป๋จึงเรียกให้เขาเข้ามา ยื่นมือหยิบข้าวสารขึ้นมากำหนึ่ง ก่อนถอนหายใจเอ่ย “ข้าวสารดี ที่นาดี ทว่าข้าวสารที่ดีเช่นนี้จะมีราษฎรสักกี่คนที่มีโอกาสได้กินกัน”
ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ขุนนางทุกคนต่างถอนหายใจและกล่าววาจาอย่างเห็นพ้องต้องกันสองสามประโยคด้วยเสียงแผ่วเบา ในใจลอบพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำนี้ของฮ่องเต้ เหตุใดยิ่งพินิจก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือคำเตือนสุดท้ายก่อนดำเนินการต่อต้านการทุจริต
กู้หยวนไป๋ลงมือย่างเนื้อด้วยตัวเองไม้หนึ่ง พูดคุยอย่างสนุกสนานกับเหล่าขุนนางสักพัก ในที่สุดก็พาคนส่วนใหญ่กลับนครหลวงอย่างเอิกเกริกก่อนท้องฟ้าจะมืด
เซวียหย่วนนำอุ้งเท้าหมีกลับจวนสกุลเซวีย หลังจากฝึกดาบกับแม่ทัพเซวียสักพักใหญ่ เขาก็วางดาบลงข้างตัวแล้วนั่งลงด้านข้างอย่างเหม่อลอย
แม่ทัพเซวียเอ่ยถาม “ลูกชายข้ากำลังคิดอะไรอยู่”
เซวียหย่วนขมวดคิ้ว “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่ปกติ”
“ไม่ปกติที่ใด”
ไม่ปกติที่มัวแต่คิดถึงกู้หยวนไป๋อยู่อย่างนี้
ตั้งแต่กลับมาจากค่ายล่าสัตว์ คงมีเพียงเวลาฝึกดาบเมื่อครู่เท่านั้นที่ไม่ได้นึกถึงเขา เพราะบัดนี้ในสมองก็มีแต่กู้หยวนไป๋อีกแล้ว
ไม่ว่าจะนึกถึงสีหน้าโมโห หรือนึกถึงตอนที่ยิ้ม เซวียหย่วนก็ยังคิดอยากจะเปลื้องกางเกงของเขา
เซวียหย่วนเอ่ยว่า “ข้ามักจะคิดถึงฮ่องเต้อยู่เสมอ”
แม่ทัพเซวียตกตะลึง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ นี่ก็คือหัวใจที่จงรักภักดีแล้ว ในฐานะขุนนางย่อมคิดเพื่อฮ่องเต้ตลอดเป็นธรรมดา”
หัวใจที่จงรักภักดี? เซวียหย่วนยิ้มเยาะ
“ยามที่ข้าคิดถึงฮ่องเต้ หัวใจข้าจะเต้นรัว” เซวียหย่วนหรี่สองตาลง “นี่เรียกว่าหัวใจที่จงรักภักดีหรือ”
แม่ทัพเซวียพยักหน้าด้วยความมั่นใจ ตบๆ ที่ไหล่ของบุตรชายคนโตด้วยความชื่นชม “นี่คือหัวใจของเหล่าขุนนางที่คิดทำการใหญ่เพื่อฮ่องเต้อย่างแท้จริง”
เซวียหย่วนเงียบงันไม่พูดอะไรอีก
เขายังมีของพรรค์นี้อยู่อีกหรือ
หลังการล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิสิ้นสุดลง ขุนนางในราชสำนักทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างก็เริ่มตรวจสอบทรัพย์สินของครอบครัวอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะขุนนางที่จวนเดิมมิได้อยู่ในนครหลวง พวกเขาให้ม้าเร็วห้อตะบึงส่งจดหมายที่มีถ้อยคำรุนแรงกลับไปฉบับแล้วฉบับเล่า เพื่อให้ครอบครัวรีบแก้ปัญหากับสิ่งของใดๆ ก็ตามที่ได้มาจากการทุจริต
ทั้งที่นาที่ซ่อนและเช่าไว้ จะเสียส่วนใหญ่เพราะส่วนน้อยมิได้!
ผ่านไปเช่นนี้ไม่กี่วัน กระทั่งวันนี้ในการประชุมราชสำนักช่วงเช้ากู้หยวนไป๋สวมเสื้อคลุมที่ซับซ้อนและหนักอึ้ง สั่งการให้ดำเนินการต่อต้านการทุจริตครั้งใหญ่ทั่วแว่นแคว้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ในวันเดียวกันสำนักตรวจการที่ถูกฮ่องเต้ชำระล้างโดยสมบูรณ์ไปรอบหนึ่ง พร้อมทั้งหน่วยควบคุมดูแลและองครักษ์ตงหลิงก็เริ่มง่วนกับการทำงานอีกครั้ง
ไม่มีขุนนางคนใดในแคว้นที่รู้ว่าหน่วยต่อต้านการทุจริตนี้จะมีคลื่นสองลูก กู้หยวนไป๋ต้องการให้คลื่นลูกหนึ่งอยู่ในที่สว่าง ส่วนอีกลูกอยู่ในที่ลับเพื่อค้นหาหนอนตัวใหญ่ที่ประสงค์จะต่อกรกับราชสำนักออกมาให้หมด!
ม้าห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว คนในสำนักตรวจการมุ่งหน้าไปยังยุ้งฉางที่ใกล้ชานนครหลวงที่สุด ภายใต้การคุ้มกันโดยกลุ่มยอดฝีมือแห่งองครักษ์ตงหลิง
ในสำนักตรวจการนอกจากขุนนางเก่าที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ขุนนางที่ถูกยัดเข้าไปใหม่ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการฝึกฝนพิเศษจากหน่วยควบคุมดูแล พวกเขาย้ายจากที่มืดไปสู่ที่สว่าง บัดนี้สำนักตรวจการอยู่ในความควบคุมของฮ่องเต้โดยสมบูรณ์แล้ว
ข่งอี้หลินกับฉินเซิงที่เพิ่งเข้ากลุ่มองครักษ์ตงหลิงก็เป็นหนึ่งในนั้น
ในใจของข่งอี้หลินรู้ดีว่านี่เป็นการทดสอบความสามารถของเขาจากฮ่องเต้ จึงใจเย็นและมุ่งมั่นที่จะสร้างผลงานที่โดดเด่นบางประการให้ได้ ผู้ที่นำทางเบื้องหน้าคือข้าหลวงตรวจการและเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดียิ่งต่อราชบัลลังก์ ข้าหลวงตรวจการพลิกตัวลงจากม้าที่หน้ายุ้งฉาง ไม่สนใจเหล่าขุนนางที่ต้องการเข้ามาทักทายพร้อมเหงื่อที่แตกพลั่ก ก่อนสั่งให้คนเปิดประตูยุ้งฉางโดยตรง
ผลผลิตและเมล็ดพืชที่เก็บเกี่ยวได้ในที่ดินแต่ละหมู่ล้วนถูกบันทึกไว้ในหนังสือรายงาน กรมอากรได้นำหนังสือรายงานเหล่านี้ส่งให้หน่วยควบคุมดูแลแล้ว ข้าหลวงตรวจการมองดูหนังสือรายงานในมือของตัวเองก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “เริ่มได้”
เขาไม่ฟังคำพูดและไม่ดูรายงานตัวเลขอ้างอิงการตรวจนับที่ขุนนางยื่นมาให้แม้แต่น้อย ทำเพียงยืนตรงหน้าประตูยุ้งฉาง จดบันทึกข้อมูลที่รายงานโดยผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้าวสารเก่าสามร้อยหกสิบเอ็ดกระสอบ ข้าวสารใหม่หนึ่งร้อยห้าสิบหกกระสอบขอรับ”
“ข้าน้อยได้สุ่มตรวจข้าวสารเก่ายี่สิบกระสอบ เจ็ดกระสอบในนั้นมีหนอนและทรายเจือปนขอรับ”
เสียงรายงานแต่ละสายดังกังวานอย่างมั่นคงอยู่นอกยุ้งฉาง เหงื่อบนศีรษะของขุนนางที่มารอรับเพิ่มมากขึ้นทุกที และขาก็อ่อนปวกเปียกขึ้นเรื่อยๆ
ความเข้มข้นในการต่อต้านการทุจริตครั้งนี้น่าสะพรึงเกินไปแล้ว!
นี่เป็นความเข้มข้นถึงขั้นพลิกทั้งยุ้งฉางเลยทีเดียว!
ในเวลาเดียวกันขุนนางสำนักตรวจการได้พาเหล่าเจ้าหน้าที่ที่เหลือสำรวจไปทั่วทุกพื้นที่ราวกับแผ่รังสีโดยมีนครหลวงเป็นศูนย์กลาง ผู้ที่เตรียมใจต้อนรับเจ้าหน้าที่ต่อต้านทุจริตชุดแรกก็อดที่จะเหงื่อแตกพลั่กมิได้
ใครก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้
ยุ้งฉางใดก็ตามที่มีปัญหา ขุนนางโดยรอบก็จะได้รับการตรวจสอบจากสำนักตรวจการอีกครั้ง และทันทีที่ตรวจพบร่องรอยการทุจริตพวกเขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว
ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ยักยอกมาเท่าไรจะได้รับโทษตามกฎหมายฉบับใด และหากชาวบ้านในท้องที่ชี้ว่าขุนนางผู้นี้ไม่ได้ทุจริตเพียงอย่างเดียวก็จะยิ่งกลายเป็นข้อหาใหญ่ ไม่มีทางดิ้นหลุด
ราชสำนักเปิดฉากดำเนินการต่อต้านการทุจริตได้อย่างดุเดือด เมื่อข่าวไปถึงจวนว่าการท้องถิ่นขุนนางจากที่ต่างๆ ก็มารวมตัวกัน ขุนนางทุจริตตื่นตระหนกและเริ่มแกะหายซ่อมรั้ว ผู้ที่กินอยู่บนหยาดเหงื่อแรงกายของชาวบ้านก็ลอบส่งข้าวของคืนอย่างลับๆ ขายของต่างๆ ที่เก็บอยู่ในยุ้งฉาง และคิดหาวิธีซื้อคืนกลับไป บางคนมีทรัพย์สินไม่พอจริงๆ จึงทำได้เพียงกัดฟันเอาทรัพย์สินของครอบครัวมาชดเชย วางแผนไว้ว่าหลังจากจัดการกับข้าหลวงตรวจการเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ค่อยนำของเหล่านั้นแลกเป็นเงินกลับมา
ชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องราวต่างเข้ามารายล้อมและเริ่มร้องรำทำเพลงด้วยความยินดี ขุนนางมือสะอาดคอยจับตามองขุนนางทุจริตเหล่านี้มากกว่าฮ่องเต้เสียอีก บางคนได้ตัดสินใจที่จะใช้ความคิดริเริ่มในการจับกุมขุนนางทุจริตและส่งตัวพวกเขาไปให้ฮ่องเต้ลงพระราชอาญา
พวกเขากระตือรือร้นที่จะลงมือยิ่ง หากสามารถจัดการหนอนแมลงเหล่านี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจได้ย้ายกลับไปยังนครหลวง
นครหลวงเอย ขุนนางราชสำนักเอย นั่นคือศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองในราชวงศ์ต้าเหิงทั้งหมด
ในสายตาของบางคน โอกาสนี้อาจไม่ใช่โอกาสที่จะก้าวขึ้นไปง่ายๆ
ซุนเสี่ยวซานเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในหน่วยควบคุมดูแล
เขาเกิดในวันที่หิมะตกหนัก ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งอยู่ใต้รากต้นไม้แก่ หลังจากมีคนเก็บไปเลี้ยงก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากสุกรและสุนัขที่ต้องเก็บอาหารใต้เท้าคนอื่นกิน
พวกคนมีฐานะต่างตบตีด่าว่าเขา ขณะที่ซุนเสี่ยวซานเจ็บจนทนไม่ไหวก็กระโจนเข้าไปเลียรองเท้าของพวกเขา คนเหล่านั้นหัวเราะ จากนั้นก็วางเท้าลงปล่อยให้ซุนเสี่ยวซานเลียจนสะอาด
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เจ็บปวดที่สุด หากซุนเสี่ยวซานเลียรองเท้าได้จนสะอาดก็จะได้กินข้าวหนึ่งชามที่ไม่แย่เท่ากับข้าวสุกร เขาน้ำลายไหลทันทีที่นึกถึงกลิ่นหอมของข้าว ดังนั้นเขาจึงพยายามเลียหนักขึ้น
พวกคนมีฐานะจึงเรียกเขาว่าเดรัจฉาน บอกว่าเขาด้อยกว่าสุกรและสุนัข ในใจของซุนเสี่ยวซานคิดอิจฉาสุกรเหล่านั้น เพราะก่อนที่พวกมันจะถูกฆ่าก็ยังได้กินจนอิ่มท้อง ทั้งยังไม่ต้องถูกทุบตี ไม่ต้องเลียรองเท้าคนอื่นอีก มันช่างดีเหลือเกิน ซุนเสี่ยวซานอิจฉาเป็นที่สุด ดังนั้นความฝันในวัยเด็กซุนเสี่ยวซานจึงอยากเป็นสุกรตัวหนึ่ง
เขาใช้ชีวิตเช่นนี้ปีแล้วปีเล่า ซุนเสี่ยวซานเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ลำพังน้ำแกงอย่างเดียวไม่พอให้เขาได้อิ่มท้อง กลางดึกเขาหิวมากจนกัดเนื้อตัวเอง บางครั้งก็กัดจนเลือดออก ทั้งรู้สึกขยะแขยงทั้งกระหายอยากที่จะกัดอีกสักคำ อยากกินตัวเองแต่ก็กลัวเจ็บ เขาหิวจนถึงขั้นที่มองดูดินสะอาดก็กลืนน้ำลายเอื๊อก ครั้นได้กลิ่นข้าวท้องก็เกร็งเป็นตะคริว
ต่อมามีครั้งหนึ่งที่พวกคนมีฐานะพาแขกมาให้ซุนเสี่ยวซานเลียรองเท้า ซุนเสี่ยวซานนึกว่ามีข้าวกินแล้วก็รีบพุ่งเข้าไปหมายจะทำให้แขกมีความสุข แต่แขกผู้นั้นกลับเตะซุนเสี่ยวซานจนปางตาย ทั้งยังกล่าวด้วยความสะอิดสะเอียนว่า “น่าขยะแขยง”
จากนั้นซุนเสี่ยวซานที่น่าขยะแขยงก็ถูกคนม้วนด้วยเสื่อฟาง แล้วนำไปทิ้งไว้ในสุสานท่ามกลางหิมะตกหนักอีกครา
ซุนเสี่ยวซานทั้งหิวทั้งหนาว ในที่สุดเมื่อเขาออกจากเสื่อฟางได้แล้วก็คิดว่าตนจะต้องตายอยู่ที่นี่เป็นแน่
ตายแล้วก็จะหลุดพ้นสินะ ซุนเสี่ยวซานคิด ชีวิตที่ทั้งสิ้นหวังและอดอยากเช่นนี้ อยู่ต่อไปจะมีความหมายอันใด?
อย่างไรก็ตาม ในวันที่หิมะตกหนักนั้นซุนเสี่ยวซานก็ถูกคนจากหน่วยควบคุมดูแลเก็บไป
เดิมทีซุนเสี่ยวซานนึกว่านี่คือสถานที่อีกแห่งที่สามารถให้เขาเลียรองเท้าได้ แต่คนในหน่วยควบคุมดูแลได้มอบเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้กับคนผอมกะหร่องเช่นพวกเขา วันที่พาพวกเขากลับไปวันแรกก็นำโจ๊กที่หอมกรุ่นและนุ่มฟูเหมือนข้าวขาวมาให้พวกเขากิน
ในโจ๊กยังเติมผักดองและหัวไชเท้ากรุบกรอบ รสชาตินั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก โตมาจนป่านนี้นี่เป็นอาหารมื้อแรกที่อร่อยจนรู้สึกอิ่ม ซุนเสี่ยวซานกินจนแทบจะกลืนลิ้นของตัวเองลงไปด้วย
เขากินไปพลางร้องไห้ไปพลาง น้ำตาที่ร่วงหล่นในชามจวนจะก่อตัวเป็นโคลนบนโจ๊กขาวอยู่แล้ว
คนที่มอบโจ๊กให้เขาหัวเราะแล้วเอ่ย “กินช้าๆ หน่อย ยังมีอีกหม้อใหญ่ พวกเจ้านี่น่าสงสารจริงๆ หลายวันนี้คงกินได้แต่โจ๊กแล้ว ไว้ร่างกายของพวกเจ้าฟื้นฟู พวกเรายังมีปลาและเนื้ออีกมาก!”
“มีปลาและเนื้อ?” ซุนเสี่ยวซานได้ยินคนที่อยู่ข้างกายตนพูดก็เอ่ยด้วยความสับสน “พวกเราก็กินได้หรือ?”
คนในหน่วยควบคุมดูแลหัวเราะหึๆ รู้สึกขบขัน “พวกเจ้ากินไม่ได้แล้วใครกินได้เล่า อีกสองวันพวกเจ้าก็จะได้เป็นสุขแล้ว”
ขณะที่พวกเขาถูกพาไปอาบน้ำและกำลังจะพาไปยังที่นอน ซุนเสี่ยวซานที่ตามอยู่หลังสุดก็พูดขึ้นอย่างจริงจัง “ข้าเลียรองเท้าได้ พวกท่านต้องการให้ข้าเลียรองเท้าหรือไม่”
เจ้าหน้าที่ที่ถูกเขาถามเช่นนี้ตะลึงงัน จากนั้นก็ตบๆ ศีรษะของซุนเสี่ยวซานอย่างไม่สบายใจ ซุนเสี่ยวซานยังจำความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือของอีกฝ่ายได้จนถึงบัดนี้
“วางใจเถิด มีฝ่าบาทอยู่ ไม่มีใครกล้าให้เจ้าเลียรองเท้า”
ซุนเสี่ยวซานรู้สึกหวาดกลัว เขารู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็น แล้วตัวเองที่ทำอะไรไม่เป็นเลยนั้นจะมีสิทธิ์กินอิ่มได้อย่างไร
แต่ว่าพวกเขาก็ได้กินอิ่มจริงๆ
หลังจากได้กินข้าวจนอิ่มมากหลายมื้อแล้ว พวกเขาก็ได้เห็นเนื้อชามใหญ่ เนื้อเหล่านั้นถูกวางอยู่ตรงหน้าเมื่อซุนเสี่ยวซานได้เห็นมันเป็นครั้งแรกดวงตาก็แดงก่ำ
นั่นเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดในใต้หล้าอย่างแท้จริง ซุนเสี่ยวซานต้องดูดตะเกียบสิบกว่าครั้งในการกินเนื้อชิ้นหนึ่ง เขารู้สึกว่าการที่ตัวเองได้กินเนื้อนั้นทำให้เสียของ ทั้งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจแทนเนื้อชิ้นนั้น ทว่าก็อดความตะกละที่จะกินเนื้อคำใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ได้
วันนั้นเขากินเนื้ออย่างอิ่มหนำสำราญ วันต่อมาเมื่อลุกขึ้นจากเตียงซุนเสี่ยวซานก็ได้กินอิ่มอีกมื้อ
นี่เป็นวันที่เขาไม่กล้าคิดฝันก่อนที่จะเข้ามาในหน่วยควบคุมดูแล
ต่อมาเมื่อซุนเสี่ยวซานเริ่มเรียนรู้การเขียนอ่านและความชำนาญด้านต่างๆ ผู้อาวุโสของหน่วยควบคุมดูแลท่านหนึ่งก็กล่าวประโยคหนึ่งกับพวกเขาในชั้นเรียนแรก
ผู้อาวุโสยืนอยู่ข้างหน้าต่างภายใต้แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดง เขากล่าวขึ้น “ใต้หล้านี้มักจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ปฏิบัติไม่ดีต่อราษฎร ทำให้ราษฎรต้องอยู่อย่างแร้นแค้น”
“แต่ฝ่าบาทเป็นคนเดียวที่ดีต่อพวกเรา ฝ่าบาทต้องการปกป้องราษฎรทั่วหล้า ทำให้เหล่าราษฎรได้กินอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นใส่”
“แต่ก็มักจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ต้องการจะสั่นคลอนบัลลังก์ของฝ่าบาท พวกเขาไม่ต้องการให้ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดี”
ซุนเสี่ยวซานเห็นด้วยกับประโยคนี้อย่างยิ่ง
ความจงรักภักดีที่หน่วยควบคุมดูแลมีต่อฝ่าบาทนั้น คนภายนอกไม่อาจจินตนาการได้
หน่วยควบคุมดูแลถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ยามที่ฮ่องเต้ขาดแคลนกำลังคน ดังนั้นทุกคนจึงทำงานอย่างหนัก พยายามฝึกปรือร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะทำงานต่างๆ ให้ฝ่าบาท
ซุนเสี่ยวซานเรียนรู้อย่างสุดความสามารถเพราะต้องการตอบแทนฮ่องเต้ เมื่อเขาสำเร็จการศึกษาและเริ่มทำงานให้ฮ่องเต้ เขาก็ได้พบเจอกับคนที่ต้องการสั่นคลอนบัลลังก์ฮ่องเต้มานับไม่ถ้วน
ขุนนางทุจริตเหล่านี้เป็นหนึ่งในผู้บงการใหญ่
เมื่อม้าได้ข้ามเส้นชายแดนลี่โจวแล้ว ทหารชั้นยอดที่อยู่ด้านหลังก็กล่าวขึ้น “ใต้เท้าซุน ถึงแล้วขอรับ”
ซุนเสี่ยวซานตื่นขึ้นจากภวังค์ เขาเหลือบมองชาวบ้านที่เดินหมดอาลัยตายอยากอยู่ริมถนนราวกับผีดิบอย่างเห็นอกเห็นใจ ก่อนเอ่ยว่า “พวกเรารีบควบม้าไป สืบหาว่าเหตุใดโจรกลุ่มนั้นถึงได้หนีเข้าป่าไปเป็นโจรภูเขา”
ดูเถิด ยามที่ฝ่าบาทพยายามนำบ้านเมืองไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ก็มักจะมีคนพวกหนึ่งที่โกงกินแผ่นดินของฝ่าบาท
ชาวต้าเหิงเหล่านี้ล้วนใช้ชีวิตด้วยการตกเป็นทาสของขุนนางทุจริต
ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้เดิมทีพวกเขาสามารถกินอิ่มและกินเนื้อได้ แต่เรื่องประเสริฐเช่นนี้กลับถูกทำลายโดยหนอนแมลงเหล่านี้ไปแล้ว
เป้าหมายของทุกคนในหน่วยควบคุมดูแล คือการกวาดล้างหนอนแมลงที่เป็นอันตรายต่อฮ่องเต้ให้ราบคาบ
ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งย่างก้าวของฮ่องเต้ในการทำต้าเหิงให้ดีขึ้นได้