ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 2 บทที่ 36 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 2 บทที่ 36 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Fantasy Farm ฟาร์มมหัศจรรย์พรรค์นี้ก็มีด้วย? เล่ม 2

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่ (西子绪)

แปลโดย : ธันวาตุลาคม

ผลงานเรื่อง : 幻想农场 (Huan Xiang Nong Chang)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของเด็กและสัตว์

มีการกล่าวถึงสถานการณ์อันน่าขยะแขยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

  

บทที่ 36 เรื่องเก่า

 

หลังจากลู่ชิงจิ่วออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปก็เป็นเวลานานมากแล้วที่อิ่นสวินต้องอยู่เล่นเพียงลำพัง

เขาขึ้นไปบนภูเขาคนเดียว ลงน้ำคนเดียว ปีนขึ้นเครื่องโม่ซึ่งครั้งหนึ่งทั้งสองคนเคยชอบปีนมากที่สุดเพียงลำพังเพื่อทอดมองไปยังบริเวณภูเขาที่ห่างไกล

ภูเขาตรงนั้นมีถนนเล็กๆ คดเคี้ยวผ่าน ทุกครั้งที่มีผู้มาใหม่หรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่อยู่แล้วเดินทางมาจะต้องผ่านถนนเส้นนี้

เมื่ออิ่นสวินมองไปที่ถนน ในมือก็กำเหรียญสองสามเหรียญไว้แน่น เหรียญเหล่านี้เป็นเหรียญตู้เกมที่เขาใช้เงินเก็บของตนเองทั้งหมดซื้อกลับมาจากในเมือง เดิมทีเขาต้องการจะมอบให้ลู่ชิงจิ่วเป็นของขวัญก่อนลาจาก แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาไม่สามารถมอบของขวัญนี้ให้ถึงมือเพื่อนสนิทได้

อิ่นสวินไม่ได้อยากให้ลู่ชิงจิ่วจากไป เขาจำได้ว่าตอนที่ลู่ชิงจิ่วจากไปนั้นได้ให้สัญญาเอาไว้ ลู่ชิงจิ่วเคยบอกว่าจะกลับมาอีกครั้ง อิ่นสวินคิดไว้ว่าเมื่อถึงเวลาที่ลู่ชิงจิ่วกลับมา เขาจะต้องนำเหรียญตู้เกมเหล่านี้วางใส่ฝ่ามือของเพื่อนตน

สถานการณ์ทางบ้านของอิ่นสวินไม่ต่างจากลู่ชิงจิ่วเท่าไรนัก พ่อแม่ออกไปทำงานข้างนอก ทิ้งคนชรากับเด็กไว้ที่บ้าน เพียงแต่พ่อแม่ของลู่ชิงจิ่วมีความรับผิดชอบมากกว่าหน่อย มารับลู่ชิงจิ่วออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ตั้งแต่เนิ่นๆ พาไปเข้าเรียนในเมือง อิ่นสวินไม่ได้โชคดีขนาดนั้น สถานการณ์การเงินของพ่อแม่เขาอยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้นเขาจึงจำต้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสุ่ยฝู่อันห่างไกลเป็นเวลาหลายปี

อิ่นสวินเล่นกับลู่ชิงจิ่วมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่ลู่ชิงจิ่วจากไป เขาจึงต้องอยู่คนเดียว

ทุกๆ วันอิ่นสวินตั้งตารอการกลับมาของลู่ชิงจิ่ว รอแล้วรอเล่า กระทั่ง…คืนหนึ่งกลางฤดูร้อน

อิ่นสวินยังคงจำอากาศในคืนนั้นได้จนถึงวันนี้ มันปลอดโปร่ง อบอ้าว ท้องฟ้าไร้เมฆ แสงสว่างของดวงจันทร์ทอดผ่านม่านฟ้ามืดมิดยามค่ำคืน ดวงดาวสุกสกาวขับให้ท้องฟ้าสว่างไสว เสียงจักจั่นร้องดังในหู เมื่อเข้าใกล้บริเวณริมถนนก็สามารถมองเห็นหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ส่องแสงระยับอยู่ในกอหญ้าหนาทึบ

นี่เป็นค่ำคืนธรรมดาที่ไม่นับว่าธรรมดาสำหรับอิ่นสวินผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านสุ่ยฝู่นี้มาเป็นเวลานาน เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆ สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นต์ สวมใส่เสื้อยืดหลวมๆ กางเกงขาสั้น และรองเท้าแตะที่ใช้กาวติด ทำให้เดินเหินไม่คล่องตัว คุณย่าสัญญากับเขาว่าถ้าฤดูร้อนนี้สิ้นสุดลง จะซื้อรองเท้าคู่ใหม่ให้

อิ่นสวินนั่งบนเครื่องโม่ที่อยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ในมือมีจิ้งหรีดอยู่สองตัว เขาเก็บมันมาจากในพงหญ้า ขณะนี้มันยังมีเรี่ยวแรงต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในฝ่ามือของเขา

แม้ฟ้าจะมืดแล้ว แต่อิ่นสวินยังไม่คิดที่จะกลับบ้าน

ความสงบเรียบร้อยในหมู่บ้านสุ่ยฝู่นั้นดีมาก แถมบริเวณข้างเคียงก็ไม่มีแหล่งน้ำลึกให้เด็กๆ เล่น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับเด็กๆ ในหมู่บ้าน ผู้ปกครองสามารถวางใจได้ คุณปู่คุณย่าที่สูงอายุแล้วเป็นคนดูแลอิ่นสวิน คนแก่เมื่ออายุมากขึ้นก็ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง เด็กในชนบทมักได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่ค่อยดีนัก เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลามืดค่ำแล้วอิ่นสวินยังไม่กลับบ้านจึงไม่มีใครออกตามหา

หากเป็นก่อนที่ลู่ชิงจิ่วจะจากไป อิ่นสวินคงกลับบ้านพร้อมเพื่อน เพียงแต่ตอนนี้ลู่ชิงจิ่วไม่อยู่ที่นี่แล้ว

อิ่นสวินนั่งเล่นอยู่บนเครื่องโม่ เด็กชายผล็อยหลับโดยไม่รู้ตัว เครื่องโม่นั้นแข็งมาก เขาจึงเจ็บใบหน้า ในขณะที่อิ่นสวินกำลังง่วงงุน เขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงธารน้ำไหล

เสียงนี้ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนอิ่นสวินลืมตาขึ้นเพราะเสียงของมัน และถึงกับตกใจชะงักนิ่งเมื่อเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัว แอ่งน้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นใต้เครื่องโม่ และภายในแอ่งน้ำนั้นมีลักษณะเป็นน้ำวน เสียงน้ำที่ไหลอย่างรวดเร็วมาจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก

อิ่นสวินมองแอ่งน้ำตรงหน้าด้วยความฉงน นี่มันพื้นที่ราบ…ทำไมถึงมีแอ่งน้ำแบบนี้ได้

ขณะที่อิ่นสวินจ้องมองแอ่งน้ำด้วยความงุนงง มือที่เต็มไปด้วยเส้นขนสีดำคู่หนึ่งก็ยื่นออกมาจากแหล่งน้ำนั้นแล้วคว้าเข้าที่ตัวอิ่นสวิน มือคู่นั้นดูบอบบาง แต่กลับมีพลังมหาศาล มันคว้าข้อเท้าของอิ่นสวินอย่างง่ายดาย ก่อนจะลากตัวเขาลงไปในแอ่งน้ำที่ไหลเชี่ยว

“อ๊าก!!!” อิ่นสวินตกใจจนร้องออกมาอย่างหวาดกลัว เขายื่นมือคว้าเครื่องโม่ ทว่าแรงของเขาไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในแอ่งน้ำได้เลย ดิ้นรนได้เพียงสองสามวินาทีก็ถูกลากลงไปในน้ำนั่นแล้ว

น้ำไหลผ่านจมูกและปากของอิ่นสวินอย่างรวดเร็ว ดวงตาเขาเบิกกว้าง พยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจช่วยให้พ้นจากอันตราย ตรงกันข้าม…ออกซิเจนถูกขับออกจากจมูกของเขามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่อิ่นสวินได้กลิ่นของความตายอย่างชัดเจน

ขณะที่ออกซิเจนลดหายจากปอด เปลือกตาของอิ่นสวินก็ค่อยๆ ปิดลง ในช่วงภวังค์นั้นเหมือนเขาจะได้ยินเสียงหล่นอย่างแจ่มชัด

อ่า…ฉันยังไม่ได้รอลู่ชิงจิ่วเลย…ในวินาทีที่เขาคิดถึงความจริงนี้ อิ่นสวินก็ฮึดระเบิดเรี่ยวแรงออกมา จนหลุดพ้นจากมือสีดำที่กอบกุมเขาเอาไว้ ตะเกียกตะกายให้พ้นจากแอ่งน้ำ

ฉันไม่อยากตาย…ฉันไม่อยากตาย…อิ่นสวินคิด ฉันยังไม่ได้เอาเหรียญตู้เกม…ให้ลู่ชิงจิ่วเลยนะ

พร้อมกับความปรารถนานี้ สติของอิ่นสวินก็เลือนรางอย่างช้าๆ และสุดท้ายการมองเห็นของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด

กว่าครอบครัวจะพบว่าอิ่นสวินหายตัวไปก็เป็นเวลาเที่ยงของวันถัดมาแล้ว

คุณปู่คุณย่าทำอาหารเรียบร้อยแต่ไม่เห็นหลานชายกลับมาก็รู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงออกตามหาทั่วทุกสารทิศ ตามหาอยู่ทั้งวัน ในที่สุดก็พบร่องรอยของหลาน

นั่นก็คือรองเท้าแตะขนาดเล็กคู่หนึ่งที่หล่นอยู่ข้างเครื่องโม่ สังเกตเห็นได้ว่าเกิดความโกลาหลอลหม่านขนาดไหนตอนที่ทิ้งมันไป

การหายตัวไปของเด็กถือเป็นเรื่องใหญ่ ปู่และย่าแจ้งความและสอบถามทุกคนในหมู่บ้านแต่ก็ไม่พบอิ่นสวิน พ่อแม่ของอิ่นสวินรีบกลับบ้านด้วยความเสียใจหลังจากได้รับข่าวการหายตัวไปของลูกชาย

ชาวบ้านในหมู่บ้านบอกว่าเด็กน้อยถูกลิงน้ำ* ลักพาตัวไป คนอื่นๆ พากันคิดว่าเขาพูดจาเลอะเทอะ หมู่บ้านสุ่ยฝู่ไม่มีแหล่งน้ำ มีแค่ทางน้ำเล็กๆ และไม่เคยมีใครตายในทางน้ำนี้ด้วย จะมีลิงน้ำได้อย่างไร

ตำรวจสรุปความว่าเด็กอาจถูกลักพาตัวและนำไปขายโดยคนที่เดินทางผ่านหมู่บ้าน ทว่าในช่วงเวลานั้น มีคนเดินทางไปที่บ้านของอิ่นสวิน

อิ่นสวินไม่เคยพบบุคคลผู้นี้มาก่อน เขารับรู้จากคำบรรยายของปู่กับย่าว่าคนคนนั้นเป็นชายหนุ่ม เขาใช้ผ้าคลุมใบหน้า เห็นแค่เพียงดวงตาสีดำสนิท ดวงตาคู่นั้นดูน่ากลัวยิ่งนัก…มีแค่เพียงตาดำ ไม่มีตาขาว

ชายคนนั้นเข้าไปในบ้านของอิ่นสวินและบอกพ่อแม่ของเขาว่าอิ่นสวินโดนฆ่าตายแล้ว

พ่อแม่อิ่นสวินตกใจแทบทรุด แต่ในขณะเดียวกันก็สงสัยว่าชายคนนี้เป็นคนฆ่าอิ่นสวินหรือเปล่า ครอบครัวอิ่นสวินตั้งท่าจะมัดชายคนนี้แล้วนำตัวเขาไปสถานีตำรวจ ทว่าชายคนนั้นกลับละลายกลายเป็นแอ่งน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา ถ้าไม่ใช่เพราะมือของพวกเขายังเปียกชื้นอยู่ พวกเขาคงไม่เชื่อและคิดว่าตัวเองเพิ่งจะมีความฝันอันแปลกประหลาดเป็นแน่

วันรุ่งขึ้น ชายผู้กลายเป็นน้ำกลับมาอีกครั้ง

คราวนี้พ่อแม่ของอิ่นสวินไม่กล้าทำอะไรเขา ได้แต่ฟังชายคนนั้นอย่างมีมารยาท

‘ลูกชายของพวกคุณไม่อาจกลับมาแล้ว’ ชายคนนั้นเอ่ย ‘เขาตายแล้ว’

คุณย่าของอิ่นสวินเป็นลมทันทีหลังได้ยินคำพูดนั้น พ่อกับแม่ของเขาร้องไห้โฮ ทั้งบ้านเต็มไปด้วยบรรยากาศอันแสนเศร้า

‘แต่ฉันพอจะมีวิธีนำเขากลับมา’ ชายคนนั้นพูด ‘แต่ว่าถ้าพากลับมาแล้ว เขาจะไม่สามารถออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่นี้ไปตลอดชีวิต เขาต้องอยู่ที่นี่จวบจนถึงจุดสิ้นสุด’

‘จุดสิ้นสุด?’ ปู่ที่มีสติเพียงคนเดียวเอ่ยถาม ‘อะไรคือจุดสิ้นสุด’

ชายคนนั้นยิ้มพลางส่ายหน้า ‘ไม่ต้องให้ฉันอธิบายหรอก เดี๋ยวเขาจะรู้เอง’

แม้ที่มาที่ไปของชายคนนี้จะเป็นปริศนาอันน่าสงสัย หากแต่สมาชิกในครอบครัวไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องเลือกประนีประนอม พวกเขาตั้งหลุมศพให้อิ่นสวินตามวิธีที่ชายคนนั้นบอก พร้อมจัดพิธีศพ งานนั้นจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างพากันมาร่วมงาน ตามหลักแล้วเมื่อมีเด็กเสียชีวิตไม่ควรจัดงานอลังการ แต่งานของอิ่นสวินกลับจัดถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

ไม่กี่วันหลังจากงานศพอันยิ่งใหญ่ อิ่นสวินที่ร่างกายเปียกปอนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าบ้าน เขาเดินเท้าเปล่าและมีท่าทีสับสน ราวกับไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ตรงนี้ได้

เมื่อพ่อแม่ของอิ่นสวินมองเห็นลูกชายตัวเองก็ดีใจมาก แม่ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ มาอุ้มพาเขาเข้าบ้าน

เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่พบศพของอิ่นสวิน เด็กที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันจึงได้รับการยอมรับจากคนในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว การที่อิ่นสวินกลับมาเป็นการพิสูจน์ว่าชายคนนั้นไม่ได้โกหก ครอบครัวของอิ่นสวินก่อตั้งศาลเจ้าบนภูเขาตามคำบอกของชายคนนั้น ตั้งชื่อว่าอิ่นสวิน ถวายธูปเทียนและผลไม้ แสงไฟที่ศาลเจ้านี้จะไม่ดับ และผลไม้จะไม่พร่องตามที่ชายคนนั้นบอก

ครอบครัวของอิ่นสวินทำตาม เพียงแต่ในใจของผู้เป็นแม่กลับมีความคิดอื่นผุดขึ้นมา เธอต้องการพาลูกชายออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่

‘เธอจะพาเขาไปไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นบอกไว้แล้วไง อิ่นสวินออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไม่ได้’ คุณปู่ต้องการหยุดการกระทำของผู้เป็นแม่ แต่สำหรับแม่ที่เคยสูญเสียลูกไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมีความตั้งใจหนักแน่นเป็นพิเศษ เธอกล่าวว่า ‘ที่นี่มีปัญหา คนที่นี่ก็มีปัญหา ฉันปล่อยลูกไว้ที่นี่ไม่ได้ ฉันต้องพาเขาไปจากที่นี่!’ เธออยากไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ ไปจากเรื่องราวบ้าๆ ทั้งหมด แล้วลืมดวงตาสีดำสนิทอันน่ากลัวของชายคนนั้นเสีย

ผู้เป็นพ่อเอาแต่นิ่งเงียบ ปู่และย่าไม่อาจห้ามได้ วันต่อมาแม่จึงพาอิ่นสวินตัวน้อยเดินไปตามทางเดินออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่

พ่อเรียกรถให้มารอที่ปากทางเข้าหมู่บ้านตั้งแต่เช้า ทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปทางรถ

ทว่านาทีที่แม่ก้าวขาออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ เธอก็พบว่าอิ่นสวินที่เอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดจาในอ้อมแขนเริ่มละลาย น้ำไหลเป็นสายจากร่างกายเขา ร่างกายของเด็กน้อยค่อยๆ โปร่งแสง

‘อ๊ากกกกกกก!!!!’ เห็นฉากนี้แม่ของเด็กชายก็ทรุดตัวลง เธอกรีดร้องแล้วโยนอิ่นสวินลงบนพื้น ก่อนจะรีบวิ่งออกจากหมู่บ้าน ‘เด็กนี่ไม่ใช่ลูกของฉัน เด็กนี่ไม่ใช่ลูกของฉัน มันคือปีศาจ…ปีศาจ…’

อิ่นสวินจ้องมองผู้เป็นแม่อย่างเหม่อลอย เขาจำได้แค่ว่าตนเองถูกดึงเข้าไปในแอ่งน้ำ ส่วนเรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่มีอยู่ในความทรงจำเลย เด็กชายเข้าใจว่าบรรยากาศแปลกๆ ในบ้านเกิดจากความคึกคะนองของเขาเอง ไม่ได้นึกถึงสาเหตุที่ลึกซึ้งกว่านั้น

แม่จากไปโดยปราศจากอิ่นสวิน เธอกับพ่อขึ้นรถออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปโดยไม่กลับมาอีก

อิ่นสวินถูกทิ้งไว้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้

โชคดีที่ว่านอกเหนือจากออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไม่ได้ อิ่นสวินก็ไม่มีอะไรพิเศษไปจากเด็กคนอื่นๆ

อิ่นสวินค่อยๆ เติบโตมาเช่นนี้ และค่อยๆ ค้นพบความแตกต่างในตัวเองทีละนิด ตอนแรกปู่และย่าไม่ได้ตั้งใจจะบอกเรื่องนี้กับเขา กระทั่งวันหนึ่งเขาพบแท่นบูชาที่คุณย่าขึ้นไปบูชาบนภูเขา…มีชื่อของเขาเขียนอยู่บนนั้น

ขณะที่อิ่นสวินมองแท่นบูชาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เป็นเวลานานกว่าเขาจะเข้าใจความรู้สึกนั้น

มันคือภารกิจ ภารกิจที่เขาจะต้องปกป้องหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปตลอดกาล

มีคนช่วยชีวิตอิ่นสวินที่น่าจะต้องตายไปแล้ว และมอบหน้าที่นี้ให้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับการให้ชีวิตใหม่กับเขา

ปู่กับย่าเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปีนั้นให้เขาฟัง ทั้งเรื่องชายแปลกหน้า เรื่องแม่ของเขา และเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถเดินทางออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ได้

แม้ว่าจะไม่เคยลองมาก่อน แต่อิ่นสวินรู้ดีว่าสิ่งที่ปู่พูดนั้นเป็นความจริง ท่ามกลางความมืดมิด เขาค่อยๆ รับรู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีสภาพอย่างนี้ แต่เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถพูดออกมาได้ หากพูดไปอาจกลายเป็นคำสาป และสำหรับบางเรื่องนั้นหากพูดออกไปแล้วอาจจะเปลี่ยนแปลงความจริงบางอย่างได้

ต่อมาปู่กับย่าเสียชีวิต อิ่นสวินเติบโตขึ้นทีละน้อย

หลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ การถูกจำกัดขอบเขตก็ได้รับการผ่อนปรนมากขึ้น เขาสามารถออกจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ไปยังตัวเมืองและหมู่บ้านใกล้เคียงได้ แต่จะไปไกลกว่านี้ได้มั้ย อิ่นสวินยังไม่เคยลอง เพราะเมื่อเขาเกิดความคิดแบบนี้ขึ้น ก็คล้ายจะมีเสียงกระซิบลอยผ่านจากภูเขามาบอกว่าเขาไม่สามารถไปได้ ถ้าออกไปจะต้องตาย

สุ่ยฝู่คือชีวิตของเขา คือรากฐานที่เขาไม่อาจแยกจาก

เรื่องราวน่าจะจบลงที่ตรงนี้ แต่การกลับมาของลู่ชิงจิ่วกลับเพิ่มเติมเรื่องราวบทใหม่

“ถ้าอย่างนั้นนายคืออะไรกันแน่” ลู่ชิงจิ่วเอ่ยถามหลังจากฟังเรื่องเล่าแสนยาวนี้จบ เขาหยิกแขนอิ่นสวิน มันให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มอย่างมนุษย์ แตกต่างจากร่างกายของคนตายโดยสิ้นเชิง

อิ่นสวินเอ่ย “ฉันคิดก่อนนะ…ฉันน่าจะรับช่วงต่อเป็นพวกเทพภูเขาอะไรทำนองนั้น…”

“เจ้าป่าเจ้าเขา?” ลู่ชิงจิ่วถาม

“ใช่แล้ว” อิ่นสวินตอบ “ฉันรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนภูเขา แต่ที่จริงก็แค่รับรู้แหละ ฉันทำอะไรไม่ได้มากหรอก ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนธรรมดามากกว่า”

ลู่ชิงจิ่วถาม “นายรู้ทุกเรื่องบนภูเขา? งั้นตอนนั้นที่พวกเราขึ้นเขาไปกับจูเหมี่ยวเหมี่ยวแล้วถูกผีบังตามันเกิดอะไรขึ้น”

อิ่นสวิน “อืม ตอนนั้นฉันนึกว่ามีเด็กโดนปีศาจแอ่งน้ำจับตัวไป ไอ้ปีศาจนั่นสร้างความลำบากมากมาย ฉันไล่มันก็ไม่ไป ก็เลยได้แต่จับตาดูมัน”

ลู่ชิงจิ่ว “อ้อ…”

อิ่นสวินรู้สึกเหนื่อยจากการเล่า เขายกน้ำชาข้างหน้าขึ้นจิบ ก่อนพูด “ชิงจิ่ว นี่คือสิ่งที่ฉันประสบพบเจอมา ฉันบอกนายไปหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันไม่มีทางทำร้ายนาย”

ลู่ชิงจิ่วพยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับเขากำลังครุ่นคิดบางสิ่ง

อิ่นสวินเข้าใจว่าลู่ชิงจิ่วยังไม่สามารถปล่อยวางเรื่องตัวตนของเขาได้ ชายหนุ่มจึงมองลู่ชิงจิ่วด้วยแววตาจริงใจ ด้วยความที่อยากจะบอกว่าตนเป็นคนดีจริงๆ

ลู่ชิงจิ่วพลันเอ่ยถาม “นายรู้ทุกเรื่องบนภูเขานี้ใช่มั้ย”

อิ่นสวินตอบ “ใช่ หญ้าทุกกอ ดอกไม้ทุกดอก ต้นไม้ทุกต้น ฉันรู้หมดเลยนั่นแหละ”

ลู่ชิงจิ่วพูด “ถ้ามีอะไรเพิ่มมานิดหน่อยนายก็รู้?”

อิ่นสวินพยักหน้า

ลู่ชิงจิ่วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้น…” เขาถามกะทันหัน “ปีนั้นที่พ่อแม่ของฉันเจอเหตุการณ์ดินถล่ม นายรู้มั้ยว่าศพของพวกเขาอยู่ตรงไหน”

อิ่นสวินเงียบ เขามองแววตาที่จริงจังของลู่ชิงจิ่วก็เข้าใจได้ทันทีว่าปัญหานี้สำคัญมาก

ก็จริง ผู้ตายต้องการจากไปอย่างสงบ นึกถึงพ่อแม่ที่ไม่มีแม้กระทั่งโลงศพ ลูกหลานก็ยากจะวางใจ

“ฉันไม่รู้” อิ่นสวินตอบ “ฉันหาดูแล้ว แต่ไม่เจอศพพ่อแม่นาย” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ขอโทษจริงๆ ตอนนั้นฉันเจอแค่กระเป๋าเป้ของพ่อแม่นาย แต่ไม่เห็นพวกเขาเลย”

ลู่ชิงจิ่วถอนหายใจ ไม่พูดอะไร ก่อนจะกอดอิ่นสวินแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายเลย นายพยายามเต็มที่แล้วนะ อย่าโทษตัวเอง มันไม่ใช่ความผิดของนาย”

ความจริงแล้วหลังเกิดเหตุการณ์นั้น ลู่ชิงจิ่วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพบศพของพ่อแม่ พอเขาได้เห็นสถานที่เกิดเหตุ ได้รู้ว่าภูเขาถล่มลงมาเกือบครึ่ง ภายใต้พลังธรรมชาติแล้วมนุษย์ก็เป็นเสมือนมดน้อย การที่สามารถหากระเป๋าเป้ของพ่อแม่เจอได้ ลู่ชิงจิ่วก็รู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ดังนั้นที่เขาถามคำถามนี้กับอิ่นสวิน ไม่ใช่ว่าต้องการจะโทษอีกฝ่าย ชายหนุ่มแค่อยากรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ที่พ่อแม่ถูกดินฝัง ถึงแม้จะอยู่ลึกเกินกว่าจะขุดขึ้นมาได้ แต่อย่างน้อยได้ไปกราบไหว้บ้างก็ยังดี

อย่างไรก็ตามเรื่องที่อิ่นสวินบอกว่าไม่เห็นศพพ่อแม่ของลู่ชิงจิ่ว มันทำให้เขาประหลาดใจระคนผิดหวัง

หากอิ่นสวินเป็นเทพภูเขาของหมู่บ้านสุ่ยฝู่จริงๆ การที่หาศพของพ่อแม่ลู่ชิงจิ่วไม่พบหมายความว่าร่างของพวกเขาอาจถูกพัดพาออกไปจากหมู่บ้านสุ่ยฝู่ ดินถล่มกินบริเวณกว้างเกินไป ลู่ชิงจิ่วจึงจำต้องยอมแพ้

“ไม่อย่างนั้นให้ฉันลองหาดูอีกครั้งดีมั้ย” อิ่นสวินพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเศร้า

“ไม่ต้องหรอก” ลู่ชิงจิ่วส่ายหน้า “ไม่ต้องฝืนหาหรอก” ย้ำยืนยันพร้อมส่งยิ้มให้ ใบหน้าชายหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้ม “พ่อแม่ของฉันเป็นคนใจกว้าง พวกเขาไม่ยึดติดกับเรื่องแบบนี้หรอก ขอแค่ฉันใช้ชีวิตได้ดีก็พอ”

อิ่นสวินจึงค่อยมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง

พวกเขาเปิดใจคุยกันทั้งคืน ลู่ชิงจิ่วสามารถแก้ปมที่อยู่ในใจของอิ่นสวินได้ในที่สุด พวกเขานัดกันว่าขึ้นเขาครั้งหน้าจะไปไหว้ศาลที่ปู่ย่าของอิ่นสวินเป็นคนตั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยลากันที่ลานบ้าน ลู่ชิงจิ่วมองดูอิ่นสวินลับสายตาไปพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มหมุนกาย เตรียมกลับเข้าบ้าน

ทันทีที่หมุนตัว ลู่ชิงจิ่วก็เห็นไป๋เยวี่ยหูที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งคู่สบตากันเงียบๆ จนลู่ชิงจิ่วเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ชายหนุ่มหัวเราะขื่นๆ

“ไอ้บ้านี่ยังมีเรื่องปิดบังฉันอยู่” ลู่ชิงจิ่วพูด “สถานที่ที่ฉันเข้าไปมันมีความหมายกับอิ่นสวินยังไง”

ไป๋เยวี่ยหูตอบ “วิญญาณ”

ต้นไม้ที่ตายแล้ว หลุมฝังศพอันโดดเดี่ยว ผืนหญ้ารกร้างไร้ที่สิ้นสุด และคราบเลือดตามหนามแหลมบนหญ้า ทั้งหมดนี้คือจิตวิญญาณของอิ่นสวิน

ลู่ชิงจิ่วนึกถึงรอยยิ้มสดใสของอิ่นสวินและเขี้ยวเล็กๆ บนริมฝีปากของเขา

ตอนที่อิ่นสวินยกยิ้มเขาคิดอะไรอยู่นะ แล้วตอนที่เขาร้องไห้เขาคิดอะไรอยู่กัน โดนแม่โยนทิ้งลงพื้น เลยทำให้เกิดวัชพืชบนที่รกร้างอันไร้ที่สิ้นสุดหรือเปล่า

ไหนจะอีกาตัวหนึ่งที่เกาะบนต้นไม้ ร้องเรียกชื่อลู่ชิงจิ่ว…

ลู่ชิงจิ่วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ย “ที่นั่นมีอีกาตัวหนึ่งร้องเรียกชื่อฉัน”

ไป๋เยวี่ยหูมองลู่ชิงจิ่วเงียบๆ

“ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่าอีการ้องเรียกชื่อเพื่อพาฉันออกไป” ลู่ชิงจิ่วกล่าว “แต่พอมาคิดดูดีๆ…” น้ำเสียงของเขามีความขมขื่น “นายว่าตอนที่ฉันไม่อยู่ อีกาจะยังเรียกชื่อฉันมั้ย”

สำหรับคำถามของลู่ชิงจิ่ว ไป๋เยวี่ยหูรู้คำตอบดี แต่เขาคิดไม่ถึงว่าลู่ชิงจิ่วจะคาดเดาคำตอบได้ง่ายดายเช่นนี้ ไป๋เยวี่ยหูชื่นชอบคนฉลาด ดังนั้นเขาจึงรู้สึกชอบชายหนุ่มที่ชื่อลู่ชิงจิ่วตรงหน้าคนนี้ เขามองลู่ชิงจิ่วด้วยสายตาอ่อนโยนพลางคิดว่าการกลืนกินคนตรงหน้าลงท้องน่าจะทำให้เขามีความสุขเหมือนที่เขาเคยปฏิบัติกับสิ่งที่โปรดปรานมาตลอด แต่ถ้ากลืนลงท้องทั้งอย่างนี้ ผิวเรียบเนียนสีขาวราวกับข้าวสาลีของชายหนุ่มจะโดนฟันแหลมคมข่วนหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงเสียดายแย่…ไป๋เยวี่ยหูรับรู้ได้ว่านี่คือความชอบที่แตกต่างจากความอยากอาหารโดยทั่วไป มันแปลกใหม่มากๆ

“เยวี่ยหู?” ลู่ชิงจิ่วถูกไป๋เยวี่ยหูจ้องมองจนรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแขนของเขาถึงได้ขนลุกเกรียว ราวกับว่าถึงแม้สมองจะไม่ได้ตระหนักถึง แต่การทำงานของร่างกายกำลังบอกเขาว่าคนตรงหน้านี้อันตรายเป็นอย่างมาก

ไป๋เยวี่ยหูยกยิ้ม รอยยิ้มของเขางดงามมาก ดวงตาเรียวดุจหงส์ยกโค้งชวนให้งงงวย เขาเอ่ย “แต่นายกลับมาแล้ว”

ลู่ชิงจิ่วมองดูรอยยิ้มของเขาก็พลันเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าทำไมในเหลียวไจจื้ออี้บัณฑิตมากมายขนาดนั้นถึงโดนปีศาจจิ้งจอกลวงหลอก ดีที่เขายังมีสติ ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ “ใช่ โชคดีที่ฉันกลับมา”

“นอนเถอะ” เพียงชั่วขณะไป๋เยวี่ยหูก็ลดรอยยิ้มบนใบหน้า กลับสู่ท่าทางเกียจคร้านตามปกติ “ดึกแล้ว”

“ใช่ ดึกแล้ว” ลู่ชิงจิ่วแหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นอีกหนึ่งคืนที่ท้องฟ้าแจ่มใสดั่งเช่นคืนอื่นๆ

“ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์” ไป๋เยวี่ยหูเอ่ย

ลู่ชิงจิ่วหมุนกายกลับไปที่ห้อง ไป๋เยวี่ยหูยืนนิ่งอยู่ในลานบ้านเป็นเวลานานอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

 

ยามเช้า ความร้อนได้ปลุกผู้คนให้ตื่นจากการหลับใหล ลู่ชิงจิ่วตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้า มองเห็นเสี่ยวฮวากำลังทะเลาะกับอิ่นสวินอยู่ในลานบ้าน

ตัวตนตังคังของเสี่ยวฮวาเปิดเผยแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องระมัดระวังอีกต่อไป เมื่อเผชิญหน้ากับอิ่นสวินจึงใช้ถ้อยคำคมกริบรัวเป็นปืนกล ทำเอาลู่ชิงจิ่วที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกตะลึง

ใบหน้าของอิ่นสวินถมึงทึงกว่าเสี่ยวฮวามาก เขาจับเสี่ยวฮวาไม่วางมือ แกเก่งนักเหรอ ฉันก็เก่งเหมือนกัน

เสี่ยวฮวาเอ่ย “อิ่นสวิน ไอ้คนหน้าไม่อาย อย่ามากอดฉันนะ ร้อน!”

อิ่นสวิน “จิ่วเอ๋อร์ เที่ยงนี้พวกเรากินเหลียงเฝิ่ง* กันดีมั้ย”

เสี่ยวฮวา “ไอ้บ้าเอ๊ย…”

อิ่นสวิน “เฮ้ เด็กๆ พูดคำหยาบไม่ได้นะ”

เสี่ยวฮวา “…”

ลู่ชิงจิ่วฟังอยู่ข้างๆ พอจัดการเรื่องตัวตนของอิ่นสวินเรียบร้อย บ้านก็กลับสู่สภาพปกติสุขอีกครั้ง

ไป๋เยวี่ยหูกลับไปนั่งเก้าอี้โยกของตัวเองด้วยท่าทางเกียจคร้านอย่างชายชราอายุแปดสิบปี อิ่นสวินกอดเสี่ยวฮวาให้อาหารไก่ในลานหน้าบ้าน แต่พอให้อาหารไปเรื่อยๆ เขาก็ร้องขึ้นเสียงดัง “เฮ้ย เสี่ยวฮวา เสี่ยวฮวา แกเป็นอะไร ตื่นสิ!”

เสี่ยวฮวาที่เพิ่งด่าทอเขาเมื่อครู่นี้กลับไม่ขยับเขยื้อน หลังจากที่อิ่นสวินอุ้มมันขึ้นมาแล้ว เสี่ยวฮวาก็ยังหลับตาอยู่ ลมหายใจของมันอ่อนแรงมากราวกับสามารถหยุดลงได้ทุกเมื่อ

อิ่นสวินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบอุ้มเสี่ยวฮวาเข้าบ้าน เอ่ยถามลู่ชิงจิ่วว่าเสี่ยวฮวาเป็นอะไร ลู่ชิงจิ่วประเมินสถานการณ์ก่อนตอบ “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นายลองไปถามไป๋เยวี่ยหูมั้ย เขาน่าจะรู้ดี!”

อิ่นสวินรู้สึกผิด “นายไปเองดีกว่า เมื่อวานฉันกินน่องไก่ของเขา วันนี้จะกล้าไปพูดด้วยได้ยังไง”

ลู่ชิงจิ่วใช้ความคิดพลางอุ้มเสี่ยวฮวาเดินไป

เมื่อฟังสิ่งที่ลู่ชิงจิ่วพูดจนจบ ไป๋เยวี่ยหูที่หลับตาอยู่ก็ลืมตาขึ้นเหลือบมองเสี่ยวฮวาแล้วเอ่ยออกมาสามพยางค์ “โรคลมแดด”

ลู่ชิงจิ่วได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ “โรคลมแดด? ตังคังเป็นโรคลมแดดได้ด้วยเหรอ แล้วทำยังไงดี”

ไป๋เยวี่ยหู “ฉันดูแล้วน่าจะไม่รอด”

ลู่ชิงจิ่ว “…”

เป็นไปตามคาด ประโยคต่อมาที่เขาพูดก็คือ “เอาไปทำหมูน้ำแดงสิ”

ลู่ชิงจิ่ว “…” ทำไมนายถึงเก่งกาจแบบนี้นะ จริงๆ แล้วนายแอบคิดวิธีกินอาหารไว้ในใจกี่แบบกันน่ะ

 

* ลิงน้ำ หรือผีน้ำ เป็นสิ่งมีชีวิตในตำนานของจีน อาศัยอยู่ในน้ำจืด มีลักษณะสะเทินน้ำสะเทินบก

* เหลียงเฝิ่ง เป็นอาหารที่นิยมทานกันในฤดูร้อน ตัวแป้งมีลักษณะคล้ายวุ้นซึ่งจะราดด้วยน้ำมันพริกคั่ว

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 18 .. 65

 

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

community.jamsai.com