เขาหันไปมองถานอู่ฟูอีกครั้ง แล้วโพล่งขึ้นว่า “ลักษณะเจ้าดูไม่เหมือนคนอับโชค”
“พี่ใหญ่พูดได้ดี ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยลำบากเลย หมอดูก็เคยบอกเหมือนกันว่าในภายภาคหน้าข้าจะเจริญรุ่งเรือง มีลาภยศสรรเสริญ หลายร้อยปีมานี้จะหาใครดวงดีเท่าข้าไม่มีอีกแล้ว ข้าไล่สอบมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับเซียงซื่อ ยังไม่เคยต้องสอบซ้ำมาก่อน พอได้ตำแหน่งทั่นฮวาก็ได้เจอพี่ชายดีๆ มีที่ให้อยู่ ขนาดพ่อครัวบ้านพี่ใหญ่ยังรสมือเป็นเลิศ ไม่ต้องพูดถึงอนาคตของข้าหรอก แค่ตอนนี้ข้าก็ดวงดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว” นางกล่าวผ่านรอยยิ้ม ซาลาเปาลูกหนึ่งกัดกินแค่ไม่กี่คำก็วาง
ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย
เขาสะกดโทสะเอาไว้ในอก เห็นแก่ที่นางยังอายุน้อย ซ้ำยังเป็นคนฉลาดเฉลียวเรียนรู้ไว จึงเตือนอ้อมๆ ด้วยความหวังดี
“อยู่กับจักรพรรดิก็เหมือนอยู่กับเสือ เป็นขุนนางราชสำนักต้องระวังตัวทุกฝีก้าว เกิดทำให้จักรพรรดิทรงกริ้วหนักขึ้นมา ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็รักษาหัวเอาไว้บนบ่าไม่ได้ หากเจ้าไม่คิดจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อชาติบ้านเมืองในระยะยาวแล้วล่ะก็ รีบล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านไป…มีเมียมีลูกเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า” สตรีผู้หนึ่งจะเป็นขุนนางได้นานสักเท่าไรกัน สิบปี ยี่สิบปี ต่อให้ไม่ออกเรือนเลยชั่วชีวิต นางจะปิดบังความจริงได้นานแค่ไหน รนหาที่ตายชัดๆ
“พี่ใหญ่พูดแบบคนมีประสบการณ์มาก่อนหรือ” นางทำหน้าซาบซึ้ง “ที่แท้พี่ใหญ่ก็เห็นข้าเป็นน้องชายจริงๆ ถึงได้ระบายความคับแค้นที่สะสมไว้ในใจมานานให้ฟัง วางใจเถิด ข้าฟังเข้าหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวา ไม่เอาไปพูดต่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียงที่ท่านเพียรสร้างมาเนิ่นนานหรอก”
คนพูดยิ้มหน้าเป็น เห็นแล้วน่าโมโหนัก
“ใครเห็นเจ้าเป็นน้องชาย” ชายหนุ่มหุบยิ้ม กัดฟันพูดเคืองๆ “ไม่ต้องมาเรียกพี่ใหญ่อย่างนั้นพี่ใหญ่อย่างนี้ ข้ามีพี่น้องเยอะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่มอีกคน”
“นี่พี่ใหญ่รังเกียจข้าหรือ” นางถามอย่างตกตะลึง
“ยิ่งกว่ารังเกียจเสียอีก เจ้าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้แต่แรกแล้ว เจ้าสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวา ก็เท่ากับมีวิชาความรู้เหนือคนอื่น คนร่ำเรียนหนังสือทั่วไปห่างชั้นกับเจ้ามาก เจ้าควรพอใจแล้วรีบลาออกจากราชการโดยเร็วจะดีกว่า…”
“นายท่าน?!” เสี่ยวจิ่นอุทาน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางเห็นนายท่านมีโทสะ และเป็นครั้งแรกเช่นกัน…ที่เห็นน้ำตาบุรุษ
“ฮึก…ข้า…ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…ที่แท้ไม่ได้มีแต่อาจารย์ที่รังเกียจข้า แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังรังเกียจ…” ถานอู่ฟูระบายความโศกเศร้าออกมาผ่านเสียงสะอึกสะอื้น “เคยได้ยินคนเขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าขุนนางเมืองหลวงถึงอย่างไรก็โลภโมโทสัน ทำตัวเหนือกฎหมาย ไม่ได้มาเป็นขุนนางเพื่อชาติบ้านเมือง แต่มาหาเงินพกเข้าห่อตัวเอง…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนอื่น คือเนี่ยเจวี๋ยเหยียที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้าย ไม่กินสินบน จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ขณะที่ราชสำนักยังจัดหาที่อยู่อาศัยให้บัณฑิตสอบผ่านไม่ได้ เนี่ยเจวี๋ยเหยียกลับยกบ้านตัวเองให้อยู่ ข้าฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก…ฮือ ต่อให้ได้เกี่ยวข้องกับวีรบุรุษในดวงใจแม้เพียงนิดเดียว…ข้าก็ยังยินดี…ฮือ…”
“นายท่าน…” เสี่ยวจิ่นดึงชายเสื้อเขา
รู้ทั้งรู้ว่านางเล่นละคร เขาก็ยังมองตาค้างอยู่นั่นเอง
“ฮือ…ข้าช่างน่าสงสารอะไรอย่างนี้…แค่ก…แค่ก…” นางสำลักไส้ซาลาเปาเมื่อครู่เข้าเสียแล้ว
เสี่ยวจิ่นรีบวิ่งเข้ามาตบหลังให้ พลางถลึงตาใส่นายท่านซึ่งตนเชิดชูราวกับเทพเจ้าเป็นเชิงตำหนิ
“นายท่าน ความจริงคุณชายก็น่าสงสารมากนะ…”
น่าสงสาร? เขาคิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์มากแล้ว ไม่นึกว่ายังมีคนเจ้าเล่ห์กว่าเขาอีก! ขนาดเด็กจงรักภักดีอย่างเสี่ยวจิ่นยังโดนหลอกไปอยู่ข้างโน้น ไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปนางจะกอบโกยลาภยศสรรเสริญให้ตัวเองในราชสำนักด้วยวิธีใด