สัญญาณเตือนภัยในหัวดังลั่น แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เกี้ยวก็ส่ายวูบ ทำท่าจะพลิกคว่ำลงกับพื้น เขากางขายันเกี้ยวเอาไว้ ท่อนแขนสีผ่านอกแบนราบของนางเพื่อยันผนังเกี้ยวรักษาสมดุล
“เจ้า…” นางแต่งกายเป็นชายต้องใช้ผ้ารัดอก ตอนที่ท่อนแขนสีผ่าน เขาสัมผัสความหยุ่นนุ่มใดๆ ไม่ได้ ทว่า…
“พี่ใหญ่ ข้างนอกมีเสียงต่อสู้” นางบอกอย่างเยือกเย็น
เขาคิดสกปรกไปเอง…ชายหนุ่มดึงสติกลับมาพลางก่นด่าตัวเอง ก่อนจะรีบออกไปดูข้างนอก
คมกระบี่ถากผ่านแก้มไปอย่างเฉียดฉิว เขาเบี่ยงตัวหลบคนชุดดำที่พุ่งเข้ามาหา
“เจวี๋ยเหยียระวังขอรับ!” คนหามเกี้ยวร้องบอก
ถานอู่ฟูโผล่หน้ามองออกมาจากรอยต่อผ้าม่าน ดูเหมือนเกี้ยวจะมาหยุดอยู่กลางตรอกเปลี่ยวเงียบ ไร้เงาคนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
“โธ่เอ๊ย! เป็นทั่นฮวาได้แค่ไม่กี่วันก็เกิดเหตุเสียแล้ว หมอดูบอกว่าข้าไม่ควรเดินทางขึ้นเหนือ แล้วก็มาตกอยู่ในอันตรายจริงๆ” นางงึมงำ
เนี่ยชังหมิงกร้าวเสียงถามอย่างเยือกเย็น
“ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก ถึงกับกล้ามาดักฆ่าแกงกันในเมืองหลวงเชียวหรือ”
“อยากเป็นชนชั้นสูงก็ต้องตายสถานเดียว!”
“อ้อ ดูท่าเจ้าน่าจะเป็นจอมโจรที่ช่วงนี้ชื่อกระฉ่อนในเมืองหลวงว่าเลือกลงมือกับชนชั้นสูงโดยเฉพาะสินะ”
เนี่ยชังหมิงเดินห่างจากเกี้ยวไปสามสี่ก้าว จนร่างของคนชุดดำปรากฏสู่สายตาถานอู่ฟู
“เด็กหรือ” คนชุดดำคนนั้นตัวไม่สูง รูปร่างผอมบาง ซ้ำเสียงยังใส แสดงว่าเป็นเด็กหนุ่มที่เสียงยังไม่แตก
เด็กแบบนี้จะเป็นจอมโจรได้อย่างไร นางไม่รู้วรยุทธ์ แต่เท่าที่ดูทั้งสองฝ่ายประมือกัน เด็กหนุ่มตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ฝีมือระดับนี้ดักสังหารชนชั้นสูงอย่างต่อเนื่องได้หรือไรกัน
จะต้องมีพรรคพวกแน่!
พอคิดได้อย่างนี้ นางก็รีบแหวกม่านก้าวออกมา ตั้งใจส่งเสียงร้องเตือนเนี่ยชังหมิง
แย่ล่ะ ช้าไปก้าวหนึ่ง! หญิงสาวอุทานในใจ ขณะเบิกตากว้างมองกระบี่อีกเล่มที่พาดอยู่บนลำคอตนเอง
“ร้องให้ช่วยสิ”
นางส่งเสียงร้องตามคำสั่ง “พี่ใหญ่ช่วยด้วย!”
เนี่ยชังหมิงหันมามองตามเสียง คนชุดดำที่กำลังสู้อยู่กับเขารีบวิ่งมาที่เกี้ยว เขาเป็นคนฝีเท้าจัด เพียงพริบตาเดียวก็ตามทัน แล้วเอื้อมมือออกไปคว้าจับอีกฝ่าย
“หยุดนะ! ไม่เห็นหรือไรว่าพวกพ้องของเจ้าตกอยู่ในมือพวกเรา” ชายที่จับตัวถานอู่ฟูไว้ร้องบอก
ปลายเท้าของเนี่ยชังหมิงหยุดลงทันที ได้แต่ยืนมองเด็กหนุ่มชุดดำวิ่งเข้าไปสมทบกับพวกตัวเอง
เขาคลี่ยิ้มสุขุม “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
“พวกเราจะฆ่าชนชั้นสูงให้หมดแผ่นดิน!”
“อ้อ” รอยยิ้มบางยังอยู่บนใบหน้า แต่ดูแปลกไปกว่าที่เคย
มีเพียงนางที่มองเห็นว่ายิ้มของเขาผิดแปลกไป มีเพียงนางอีกเช่นกันที่ได้ยินเสียงสมองของเขาขับเคลื่อนแผนการไม่หยุด นางอุทานในใจว่า ‘แย่แล้ว’ ก่อนจะพูดออกไปว่า “พี่ใหญ่ ข้าเป็นเสาที่ค้ำจุนแผ่นดิน ท่านต้องช่วยข้านะ!”
“ข้าย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้วน้องชาย!” ดวงตาของเนี่ยชังหมิงอำมหิตเย็นชา ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม “พวกมันก็แค่แกล้งวางท่าไปอย่างนั้นล่ะ ไม่กล้าทำอะไรเจ้าจริงหรอก!”
“ใครว่าพวกเราไม่กล้า!” เด็กหนุ่มที่คุมตัวนางตวาด แล้วกดคมกระบี่ลงไปในลำคอขาวอีกนิด
“น้องชาย ช่วยเบามือหน่อย จะใช้ข้าเป็นยันต์กันภัยก็อย่าให้ข้าบาดเจ็บ เพราะถ้าข้าบาดเจ็บจะมีคนดีใจ! ระวังให้ดีล่ะ” นางจ้องเนี่ยชังหมิงเขม็ง แล้วยิ้มให้อย่างเยือกเย็น “พี่ใหญ่ ท่านเคยอ่านความเรียงที่ข้าเขียนตอนสอบหรือไม่” ยามนี้นางหัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง เพิ่งประจักษ์ตอนนี้เองว่าเสี้ยวเวลาแห่งความเป็นความตายหมายความว่าอย่างไร
แม้จะประหลาดใจกับคำถามนั้น เขาก็ยังตอบแต่โดยดี “ไม่ต้องเอามาอ่านหรอก ใต้เท้าอู๋เล่าเนื้อหาคร่าวๆ ให้ฟังแล้ว”
“ข้าเป็นคนเก่งชนิดหาตัวจับยากนะ พี่ใหญ่ ขอเพียงข้าตั้งใจเสียอย่าง อีกไม่กี่ปีตำแหน่งเสนาบดีจะต้องเป็นของข้า ไม่ว่าท่านจะวางแผนทำสิ่งใด ข้าจะต้องช่วยท่านได้อย่างแน่นอน” นางบอกเป็นนัย
นัยน์ตาสีดำที่เต็มไปด้วยความเย็นชาฉายแววหวั่นไหววูบหนึ่ง ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ตอบยิ้มๆ “ข้าเข้าใจ ถึงได้จะช่วยเจ้าอย่างไรเล่า! อู่ฟู วางใจเถิด พวกมันไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรอก…”
“ใครบอกว่าพวกเราไม่กล้า อยากปกป้องมันนัก พวกเราก็จะฆ่ามันให้ตายตรงนี้นี่ล่ะ!”
“อย่านะ!” เนี่ยชังหมิงร้องห้าม “เจ้าจะฆ่าไม่ได้เป็นอันขาด! คนผู้นี้เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก หากเจ้าฆ่า ไม่มีทางหนีรอดกฎหมายบ้านเมืองได้แน่!”
ช่างเข้าใจยั่วยุเหลือเกินนะ!