“ช่างปากหวานจริงๆ” หลี่หวันดึงมือของหลินไต้อวี้ไว้และให้บุตรชาย จย่าหลันทักทายทุกคน ไหนเลยจะรู้ว่ามือข้างหนึ่งของบุตรชายจะถือหนังสืออยู่เหมือนยังไม่รู้ตัวว่าตนถูกพามาที่ใด “เด็กผู้นี้ช่าง…”
“ไม่เป็นไร เสี่ยวหลันชอบอ่านหนังสือก็ดีแล้ว”
จย่าหลันที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวหลัน’ ช้อนสายตาขึ้นและเรียกนางว่า “ท่านอา อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวหลันอีกนะ”
“หลันเอ๋อร์?” หรือเรียกเช่นนี้จะดีกว่า
“ท่านอา ข้าสอบได้เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้ว การที่ท่านจะเรียกข้าเช่นนี้มันไม่เหมาะ” จย่าหลันแก้คำนางด้วยท่าทีเหมือนเป็นผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง
“บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวง?!” นางตกตะลึง
ที่ตกตะลึงเพราะ…เด็กชายอายุแปดขวบคนหนึ่งสอบได้เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้ว ตามหลักควรเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่เคยได้ยินว่ามีงานฉลองเรื่องนี้มาก่อน ทั้งที่ภายในบ้านมีงานเลี้ยงกันเป็นประจำ นอกจากงานเลี้ยงวันเกิดของท่านยายที่มีการฉลองกันต่อเนื่องหลายสิบวัน ยังมีวันเกิดของใครต่อใคร และงานเลี้ยงชมดอกไม้ก็มีอีกไม่น้อย
เมื่อปีที่แล้วตอนน้องสาวของหวังฮูหยิน น้าเซวียพาบุตรชายหญิงมาเยี่ยม ทันทีที่เข้าคฤหาสน์สกุลจย่ามา เซวียเป่าไชก็ได้รับการดูแลประดุจคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ไหนจะเหมือนพวกหลินไต้อวี้ที่อยู่กันอย่างลูกกำพร้าเช่นนี้
ในทางกลับกันจย่าหลันเป็นบุตรชายคนเดียวของพี่ใหญ่บ้านรองผู้วายชนม์ เท่ากับเป็นหลานชายคนโตสายตรงของท่านลุงรองและเป็นเหลนของท่านยาย มาวันนี้เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เหตุใดภายในบ้านถึงเงียบเชียบเช่นนี้
หลี่หวันเพียงยิ้มเงียบๆ และหาเรื่องคุย “อิ๋งชุน ช่วยเอาขนมในกล่องออกมาหน่อยเถิด วันนี้เป็นวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่า พวกเจ้าไม่ได้ไปร่วมงาน ข้าเลยเอาส่วนของพวกเจ้าทุกคนมาให้”
จย่าอิ๋งชุนจึงเปิดกล่องอาหารที่ซ้อนกันหลายชั้นพบว่าด้านในมีขนมทั้งหมดสี่ชุดจึงอดตาแดงเรื่อไม่ได้ นางรีบหยิบขนมออกมา
“ได้ยินว่าสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือยนี้ช่วยรักษาโรคไอได้ชะงัดนัก เจ้าลองชิมดูนะ ยังมีเหอเถา คลุกน้ำตาล แล้วค่อยปิดท้ายด้วยพุทราแดงเชื่อมดอกกุ้ย”
หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วน้ำตาพลันทะลักออกมาอีกรอบ
ขนมคฤหาสน์สกุลจย่า ขนมที่เคยได้แต่อ่าน ทว่าบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว!
นางยกชามขึ้นมาตักสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือย สัมผัสชุ่มชื่นลื่นคอ เนื้อเนียนละเอียดทำให้หลินไต้อวี้น้ำตาไหลเต็มหน้า ในปากอบอวลไปด้วยสมุนไพรกับกลิ่นหอมของผลไม้ทำให้นางไม่อาจหยุดน้ำตาของตนเองอย่างสิ้นเชิง
สวรรค์ นี่สิคือสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือย! น้ำเชื่อมหวานเข้มข้นแต่ไม่เลี่ยน พอสาลี่หิมะเข้าปากก็ละลาย อร่อยจนนางแทบจะกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วยแล้ว!
ช้อนตาขึ้นมอง เห็นพี่น้องชุนทั้งสามค่อยๆ ละเลียดกันคำเล็กๆ ด้วยสีหน้าตื้นตัน แสดงให้เห็นว่าขนมในงานเลี้ยงพวกนี้เป็นอาหารเลิศรสที่หากินได้ยากสำหรับพวกนางเหมือนกัน ทำให้หลินไต้อวี้อดรู้สึกปวดใจแทนพวกนางไม่ได้
ในสายตาของนางการที่พี่น้องชุนทั้งสามเข้ามาใกล้ชิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหลินไต้อวี้น่ารักน่าเอ็นดูอย่างเดียว แต่เพราะพวกนางมองเห็นข้อดีที่แอบแฝงอยู่ทางเบื้องหลังของนาง
เป็นต้นว่า…
“อ้าว พวกพี่สาว น้องสาว มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
น้ำเสียงใสกังวานประดุจไข่มุกกระทบหยกดังมาจากทางด้านหลังของหลินไต้อวี้ ทำให้รอยยิ้มของนางหุบฉับลงทันที
เจ้านกยูงสมควรตาย!
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายนางเปราะบางเช่นนี้ นางคงฟาดฝ่ามือใส่เขาให้ลอยไกลไปถึงสุดขอบฟ้ามหาสมุทรแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เขาแวบไปแวบมาอยู่รอบตัวทุกสามวันห้าวันเช่นนี้
“เป่าอวี้ มานี่สิ” หลี่หวันเรียกเสียงนุ่ม
“พี่สะใภ้ใหญ่”
หลินไต้อวี้หลุบตาลงแต่ยังไม่วายเหลือบไปเห็นจย่าเป่าอวี้ที่ประโคมเครื่องประดับเต็มตัว สวมชุดคลุมตัวนอกผ้าดิ้นสีแดงแบบปิดคอขลิบริมทองทับด้วยเสื้อแขนสั้นผ้าไหมเนื้อบางปักลายหรูอี้* สีถั่วแดง ศีรษะสวมรัดเกล้าหยกทอง บนคอมีสร้อยจี้ทองคำฝังหยก ไข่มุกและเครื่องประดับทองกับหยกแปลกๆ จำนวนมาก เปล่งประกายจนนางรู้สึกแสบตา
ใบหน้าของเขาขาวผ่องดุจหยก หล่อเหลาประดุจเทพเซียน แม้จะอายุยังน้อยแต่กลับเป็นดั่งต้นดอกท้อเดินได้ เพียงปรายตามองก็สามารถทำให้พวกสาวใช้หลงเสน่ห์จนล้มลงไปกองแทบเท้าเขากันระเนระนาด
‘ความงามสง่าโดยธรรมชาติอยู่ที่ปลายคิ้ว อารมณ์หลากหลายรู้ได้ด้วยหางตา’
คำบรรยายนี้เขียนได้ตรงมากๆ รูปร่างหน้าตาเช่นนี้มันน่าซัดจริงๆ แต่หลินไต้อวี้ก็ต้องอดทนสะกดใจเอาไว้หลายครั้งเพราะไม่มีเรี่ยวแรง หาไม่ นางคงเตะเขาให้ลงไปกินมูลที่พื้นนานแล้ว