สองย่าหลานพูดคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ถ้าหากไม่ใช่เพราะจย่าเป่าอวี้หยิบยกเรื่องของหลินไต้อวี้ขึ้นมา นางคิดว่าท่านยายคงลืมไปแล้วมาทำอะไรที่นี่ จะว่าไปเรือนปี้ซาแห่งนี้เดิมเป็นเรือนน้อยในสวนตะวันออกของท่านยาย การที่ท่านยายจะเดินเล่นมาถึงที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าแปลก และการจะทำเหมือนนางไม่มีตัวตนก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเช่นกัน
“เหตุใดพักฟื้นมาตั้งหลายเดือนแล้วยังหน้าตาซีดเซียวอยู่อีก” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าถอนใจ
หลินไต้อวี้หลุบขนตายาวเฟื้อยลงเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบอย่างไร ช่วยไม่ได้ เทียบกับจย่าเป่าอวี้แล้ว ปากของนางเหมาะจะใช้กินอาหารมากกว่าพูดคุย
“ไม่ใช่อะไรหรอกขอรับ ตอนนั้นข้าสั่งให้พ่อครัวนึ่งซาลาเปาอายุยืนให้ผินผินหนึ่งหม้อ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับไร้วาสนาได้ลิ้มรส พอกินเสร็จก็ล้มป่วย เวลานี้กลัวแต่ผินผินจะเป็นเหมือนท่านอาหญิงที่สุขภาพอ่อนแอ ถ้าไม่ถือโอกาสนี้กำจัดต้นตอของโรค ทิ้งไว้นานๆ แล้วจะไม่ดี” จย่าเป่าอวี้ประคองกล่องอาหารในมือ “ดูสิขอรับ นี่เป็นซูเล่าที่พี่สาวใช้ให้คนนำมา ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะเอามาลองกินกับผินผิน แต่เวลานี้นางคงกินซูเล่าไม่ได้แล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าฟังแล้วนัยน์ตาคมปลาบพลันเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงราวกับสุขภาพอ่อนแอของหลินไต้อวี้ทำให้นางมองเห็นเงาของบุตรสาวผู้อาภัพจึงเอ่ยกับหลินไต้อวี้ว่า “อีกเดี๋ยวให้บิดาเจ้าเขียนจดหมายไปเชิญหมอหลวงจากในวังมาด้วย”
“ขอรับท่านย่า เพราะเกิดผินผินมารักษาตัวที่บ้านเราแล้วอาการหนักขึ้น พวกเราคงจะสู้หน้าอาเขยไม่ได้อย่างแน่นอน”
หลินไต้อวี้หันไปมองจย่าเป่าอวี้อย่างระแวงเพราะไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมองออกว่าภายในคฤหาสน์มีการอาฆาตมาดร้ายกันอยู่ ทว่าคำพูดประโยคนี้ของเขากลับช่วยชีวิตของนางไว้ เพราะมันทำให้นางได้กินอาหารอร่อยและสามารถสู้ต่อไปได้ นับแต่นี้นางจะดีต่อเขามากขึ้นอีกนิดและจะไม่มองค้อนเขาอีกแล้ว
“ไต้อวี้ อีกเดี๋ยวข้าจะส่งสาวใช้สักสองสามคนมาดูแลเจ้า จะให้เด็กที่ยังไม่โตอย่างเสวี่ยเยี่ยนมาคอยดูแลได้อย่างไร” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าพูดพลางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณท่านยายเจ้าค่ะ” หลินไต้อวี้พูดเสียงแหบ ช่วงที่ป่วยเสียงของนางจะแหบลงเล็กน้อยทำให้ฟังดูน่าสงสารมาก
“ขอบคุณอะไร ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าลูบหน้านางเบาๆ “รีบบำรุงรักษาร่างกายให้ดีๆ นะ”
หลินไต้อวี้ผงกศีรษะ อดรู้สึกนับถือความสามารถของจย่าเป่าอวี้ไม่ได้ เพราะแค่เขาพูดสองสามคำก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าจย่าหันมาดีต่อนางได้แล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่นางได้รับความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าจย่านับตั้งแต่ที่เข้ามาในคฤหาสน์จนถึงวันนี้
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินไต้อวี้ปวดใจยังคงเป็นสิ่งที่อยู่ในมือของจย่าเป่าอวี้ ซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลที่กำลังห่างจากนางออกไปมากขึ้นทุกขณะ…ฮือๆ ใจคอจะไม่เหลือให้นางกินสักคำเลยหรือ
“ท่านย่า ท่านออกไปเดินเล่นที่สวนกับท่านอารองเป่าก่อนดีหรือไม่ ข้าจะอยู่คุยเป็นเพื่อนท่านอาหญิงน้อยที่นี่เอง” ฉินเข่อชิงประคองฮูหยินผู้เฒ่าจย่าเดินไปที่ประตูด้วยรอยยิ้มน่ารักพลางเอ่ย
ฮูหยินผู้เฒ่าจย่ารับคำแล้วให้จย่าเป่าอวี้ประคองนางเดินออกไป
หลินไต้อวี้เลิกคิ้วอย่างฉงนเพราะคิดไม่ถึงว่าคนที่เพิ่งได้พบกันครั้งแรกจะมีเรื่องอะไรมาคุยกับนางได้ แต่ในระหว่างที่กำลังขบคิด นางกลับเห็นฉินเข่อชิงเดินเข้ามาหาและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “สุขภาพร่างกายของท่านอาไม่ค่อยดี ต้องบำรุงให้มาก หาไม่ต่อไปอาจเหลือต้นตอของโรค”
อ๋อ จะคุยเรื่องนี้ ช่างไม่รู้จักคิดสร้างสรรค์บ้างเลยจริงๆ “ขอบคุณ แต่ท่านยายไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเรียกชื่อข้าเลยก็ได้” นางรู้สึกปวดศีรษะกับเรื่องกฎระเบียบภายในบ้านมาก เพราะบางครั้งเวลาเจอใครก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกเขาว่าอย่างไร ทำให้หลินไต้อวี้นึกอยากเลียนแบบจย่าเป่าอวี้ที่เรียกทุกคนเป็นพี่สาวน้องสาวให้หมด
แต่เสียดายที่หน้านางยังบาง กับคนที่ไม่สนิทหรือไม่ได้เป็นอะไรกัน นางเรียกเป็นพี่เป็นน้องไม่ออกจริงๆ
ฉินเข่อชิงยิ้ม ท่วงทีกิริยาจับตาทำให้คนมองรู้สึกอ่อนยวบได้อย่างแท้จริง หญิงสาวไม่ได้งามหยาดเยิ้มน่าหลงใหล แต่ท่าทางไม่ถือตัวกับความมีเมตตาทำให้ใครต่อใครอยากคุยกับนางให้นานขึ้น