เสียดายที่หลินไต้อวี้กำลังป่วยใกล้ตาย ไม่มีแรงจะคุยด้วยอีก หากจะมาพูดซ้ำเหมือนผู้อื่นล่ะก็ นางฟังจนท่องได้หมดแล้ว และบางทียังท่องเป็นกลอนในใจได้ด้วย
“ไต้อวี้ หากเจ้าอยากจะอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าดีๆ ต้องรู้จักระวังตัว”
“เอ๋?”
“แม้ท่านอารองเป่าจะเป็นที่รักและได้รับความโปรดปรานจากท่านย่า แต่นั่นก็ทำให้เขาตกเป็นที่ริษยาของผู้อื่น ดังนั้นการซ่อนประกายไว้ย่อมดีกว่า”
หลินไต้อวี้จ้องหน้าฉินเข่อชิงที่ยังคงยิ้มแย้มเหมือนเดิมด้วยอาการตาค้าง เพราะคำพูดประโยคนี้เหมือนกำลังทำให้นางเข้าใจถึงสภาวะการต่อสู้แย่งชิงกันในคฤหาสน์สกุลจย่า รวมไปถึงสถานภาพและบทบาทของนาง ทว่าฉินเข่อชิงเป็นคนของจวนหนิงกั๋วกง เหตุใดนางจึงรู้เรื่องพวกนี้ดีถึงเพียงนี้
“ยังมีอีก เวลาไปรับอาหารจงอย่าบอกว่าไปรับให้ใคร การมอบเศษเงินเพื่อจ้างคนไปนำมาให้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ส่วนเรื่องยาให้ทำเป็นยาลูกกลอนไว้กินจะเหมาะกว่า” ฉินเข่อชิงพูดพลางหันไปมองเสวี่ยเยี่ยนที่ยืนอยู่ข้างเตียงแวบหนึ่ง “เจ้ายังมีสาวใช้ผู้นี้ที่พอจะใช้งานได้ การจะออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปทำยาลูกกลอนเพื่อรักษาโรคไม่ใช่เรื่องยาก ร้านขายยาซุ่นซิงทางตะวันตกของเมืองเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว เพราะเป็นยาลูกกลอนของแท้”
หลินไต้อวี้ฟังแล้วแทบจะขนลุกขึ้นมาด้วยความรู้สึกหนาวเยือก
สวรรค์! อย่าบอกนางนะว่าคฤหาสน์ทุกหลัง เรือนพักทุกแห่งล้วนใช้วิธีนี้เหมือนกันหมด ฉินเข่อชิงถึงได้มาชี้แนะวิธีเอาตัวรอดให้แก่นาง
นางรู้ว่าในอาหารและยาจะต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ แต่หลินไต้อวี้ที่อยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่นจำเป็นต้องยอมก้มหัว ยิ่งการที่นางสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงนี้ย่อมแสดงว่ายาพิษไม่ได้แรงแต่ต้องการให้นางค่อยๆ ตายเพราะพิษไปอย่างช้าๆ เพราะทางที่ดีที่สุดคือทำให้นางป่วยตาย
ปัญหาคือถ้านางตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร เรื่องนี้หลินไต้อวี้คิดอย่างไรก็คิดไม่ตก นางเคยสงสัยว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างนางกับจย่าเป่าอวี้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมานางกับเขาก็ไม่เคยใกล้ชิดกันมากขนาดต้องกำจัดนางทิ้ง เช่นนั้นมันไร้เหตุผลจนเกินไป
สรุปคือดูจากสถานการณ์ในเวลานี้หลินไต้อวี้คงไม่ได้กินซาลาเปามากไปจนท้องไส้พัง แต่เพราะจย่าเป่าอวี้ปฏิบัติต่อนางพิเศษกว่าผู้ใดจึงทำให้มีคนปองร้าย
ยุ่งล่ะสิ เช่นนี้นางจะเข้าใกล้จย่าเป่าอวี้ดี หรือจะอยู่ให้ห่างจากเขาดี เพราะถ้าดึงเขามาเป็นพวกเดียวกันได้ นางย่อมได้ท่านยายมาเป็นที่พึ่ง แต่ถ้าหากไม่ผลักเขาออกไปเกรงว่านางคงถูกพิษตายอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าจริงๆ
ถูกพิษตายเป็นเรื่องเล็ก แต่ต่อจากนี้ไปต้องอดกินของอร่อยต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่!
ความคิดที่จะตัดหนทางไปสู่ของอร่อยของนางช่างไร้มนุษยธรรมและน่ารังเกียจยิ่ง แล้วนางจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้หรือ
“หากเป็นไปได้ ต่อไปเวลากินอาหารก็ให้ไปกินกับพี่ๆ น้องๆ ในบ้านจะดีกว่า” ฉินเข่อชิงหยุดพูดแล้วลุกขึ้นอย่างแช่มช้อย ปิ่นที่เสียบอยู่บนมวยผมส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง
“พี่เข่อชิง ข้าเข้าใจสิ่งที่ท่านบอกแล้ว ต่อไปข้าจะอยู่ให้ห่างจากจย่าเป่าอวี้” คงต้องทำเช่นนี้ไปก่อนเพื่อรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง จากนั้นค่อยรีบเผ่นกลับหยางโจว!
แดนมนุษย์ทุกที่ล้วนมีแต่ของอร่อย แม้การจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปจะเป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ถ้าออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าไปแล้วสุขภาพดีขึ้น อยากกินอะไรที่อื่นมีหรือจะเป็นเรื่องยาก
ก่อนจากไปฉินเข่อชิงยังเอ่ยรำพึงเสียงเบา “เด็กผู้นั้นชะตาอาภัพ”
หลินไต้อวี้นิ่งงันอยู่นาน จย่าเป่าอวี้น่ะหรืออาภัพ อ๋อ คงหมายถึงจุดจบของเขาล่ะสิ ก็อาภัพจริงๆ นั่นล่ะ ปัญหาคือฉินเข่อชิงก็มองเห็นได้เหมือนนางหรือ หาไม่ เหตุใดนางจึงรู้เรื่องนี้ ไม่ถูกสิ ที่นี่เป็นโลกในนิทานโบราณ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ของจริงที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถทะลุมิติเข้ามาได้
แล้วที่ฉินเข่อชิงบอกว่าอาภัพ…มันหมายถึงเรื่องอะไร หรือนางมีความสามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า?
หลินไต้อวี้มุ่นหัวคิ้วคิดอยู่นานแต่กลับคิดไม่ออก นางจึงนอนลงด้วยความรู้สึกมึนๆ งงๆ แต่ก่อนหลับนางก็ยังคงรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้กินซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลอีกครั้ง
ฮือๆ นั่นมันของพระราชทานเชียวนะ!