ในใจของจย่าเป่าอวี้เต็มไปด้วยคำถาม
เขาคิดมาสามปีแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ
เขาเดินถือกล่องอาหารเข้าไปในเรือนปี้ซาแล้วได้ยินเสียงซอยเท้าทำให้ต้องช้อนสายตาขึ้นมองเล็กน้อย เรียกเสียงร้องเบาๆ จากพวกสาวใช้ที่วิ่งมาหา แต่ละคนเขินจัดจนต้องก้มหน้า ไม่กล้าสบตาเขา ภาพพวกนี้เขาเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต กลายเป็นความคุ้นชินแล้วจึงทำเป็นมองไม่เห็นและเดินจากไป
ลองมาคิดดู ต่อให้เป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายท่านย่าที่มีความนิ่งพอตัว แค่เขาจงใจทิ้งสายตาให้หน่อย มีคนใดบ้างจะไม่เหม่อลอยจนแข้งขาอ่อน
แต่นี่ผินผินกลับไม่แยแส…
เมื่อก่อนเขาสงสัยว่านางอาจจะสายตาไม่ดี มองไม่เห็นใบหน้าหล่อเหลาเหนือใครของเขา ถึงได้ไม่มีท่าทีเช่นเดียวกับสตรีในวัยเดียวกัน แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เขาเห็นกับตาว่านางชี้นกที่บินอยู่บนท้องฟ้าแล้วบอกได้อย่างแม่นยำว่ามันคือนกลวี่ซิ่วเหยี่ยน และนั่นทำให้เขายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
เพราะถ้าสายตานางดีถึงเพียงนั้น เหตุใดเวลาที่เห็นเขากลับไม่มีท่าทีอะไรเลย
กระทั่งลูกผู้พี่อย่างเซวียเป่าไชที่เข้ามาในคฤหาสน์สกุลจย่าไล่เลี่ยกับผินผิน เป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ มีกิริยามารยาทเรียบร้อย แต่แค่เขาตั้งใจจ้องนางให้มากหน่อย เซวียเป่าไชยังเขินจนหน้าแดงก่ำและไม่กล้ามองหน้าเขา จวบจนทั้งสองคนไปมาหาสู่กันได้สองปี นางถึงค่อยๆ กล้ามองตอบและคุยเล่นด้วย
ด้วยเหตุนี้ผินผินจึงกลายเป็นสตรีประหลาด เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนางก็ไม่สนใจเขาเลย แม้แต่มองก็ยังไม่ยอมมองให้นานหน่อยด้วยซ้ำ
ทว่าจู่ๆ ในงานเลี้ยงวันเกิดท่านย่าเมื่อปีที่แล้วนางกลับเปลี่ยนไป ดวงตาที่แอบซ่อนความขวยเขินตื่นกลัวมีประกายสดใส พิลาสพิไลหยาดเยิ้มจนทำให้เขาใจสั่น
ขนาดนึกย้อนดูอีกทีตอนนี้จย่าเป่าอวี้ก็ยังคงรู้สึกหัวใจเต้นแรงไม่หาย ช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
แม้จะบอกว่าผินผินเป็นหญิงงามรุ่นเยาว์ที่มีเสน่ห์น่าสงสารราวกับซีซือยามเจ็บไข้ ในขณะที่เซวียเป่าไชที่เป็นสตรีทรงเสน่ห์ยั่วยวน แต่จย่าเป่าอวี้กลับไม่เคยรู้สึกใจสั่นเพราะเซวียเป่าไชเหมือนอย่างผินผิน
อาการใจสั่นอย่างไร้เหตุผลนี้ทำให้เขาอยากจะหาเวลาไปเยี่ยมผินผินเป็นประจำ แต่ระยะหลังดูเหมือนรอบตัวผินผินจะมีผู้คนอยู่ด้วยเยอะขึ้น เพราะพี่น้องชุนทั้งสามคล้ายจะเป็นเงาของนางไปแล้ว กระทั่งพี่สะใภ้หลี่หวันกับหลานชายของเขา หลันเอ๋อร์ก็ยังไปร่วมด้วย เวลาเห็นพวกนางจับกลุ่มกันกินนั่นกินนี่ จย่าเป่าอวี้ก็อยากเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยมาก แต่เขากลับเข้ากลุ่มไม่ได้
ช่วยไม่ได้ เมื่อเขาไม่ค่อยสนิทกับพวกพี่น้องกลุ่มนี้ ทำให้ตอนนี้ต่อให้อยากจะเข้าไปสนิทด้วยก็ไม่รู้ว่าควรคุยเรื่องอะไร นอกจากนี้พวกนางก็ไม่มีท่าทีว่าจะทอดสะพานให้ ไม่เหมือนพวกฉิงเหวินที่ชอบเครื่องหอมแป้งขาด และไม่เหมือนเซ่อเยวี่ยกับเสี่ยวหงที่ทำเชือกถักสานตะกร้าให้ เรื่องที่พวกผินผินคุยกันมักเป็นเรื่องบทกวี แม้แต่หลานชายของเขา หลันเอ๋อร์ยังสามารถต่อกลอนได้ ในขณะที่เขาฟังแล้วรู้สึกปวดศีรษะมาก
นั่นเป็นการละเล่นที่ไม่เห็นจะสนุกสักนิด ไม่ว่าจย่าเป่าอวี้จะเข้าไปเล่นด้วยกี่ครั้งก็ยังเหมือนเดิม ทำให้เขาไม่ค่อยอยากไปอีก ต่อมาเขารู้จากสาวใช้ที่ท่านย่าส่งให้ไปอยู่ข้างกายผินผินว่าสุขภาพของนางดีขึ้นมาก ทำให้เขารู้สึกวางใจขึ้นและไม่จำเป็นต้องวิ่งไปหาทุกๆ สองวันสามวัน…
ปัญหาคือถึงสมองจะคิดเช่นนี้ แต่ร่างกายกลับฝืนจะไปอีกทาง ทำให้เขายังคงวิ่งมาทุกสองวันสามวัน
ทว่าพวกผินผินยังคงเป็นเหมือนเดิม
ไม่สิ ไม่รู้ว่ามีจย่าหวนเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร น้องชายของเขาที่เกิดจากอนุภรรยาของท่านพ่อ เป็นน้องชายที่เขาไม่สนิทแต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นศัตรู
เรื่องที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าคือตอนที่เขาก้าวเข้าไปในเรือนพัก เสียงหัวเราะจะหยุดชะงักลงทันควัน คล้ายว่าเขาเป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่ต้อนรับทำให้จย่าเป่าอวี้เผลอเบ้ปากและหมุนตัวเดินจากไป
ที่นี่มีอะไรดี พวกนางดีแต่จับกลุ่มสุมหัวกัน ในขณะที่เขายุ่งมากเพราะต้องไปร่วมงานเลี้ยงของเป่ยจิ้งอ๋องและหนานอันจวิ้นอ๋อง แค่นี้เขาก็ยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้นแล้ว ไม่มีเวลามาทำท่างดงาม มีความสุขเหมือนไม่สนใจโลกอย่างพวกนั้นหรอก
ถึงกระนั้นจย่าเป่าอวี้ยังคงรู้สึกขุ่นใจ เขาไม่พอใจเอามากๆ
เหตุใดพวกนางถึงจับกลุ่มเล่นสนุกกับจย่าหวน แต่กลับไล่เขาออกมาด้วยความเงียบ เขาอยากไปเยี่ยมผินผิน แต่พอคิดได้ว่าตอนตนทำท่าสะบัดแขนเสื้อจะจากไปแล้วไม่มีใครรั้งเขาไว้เลยสักคน จย่าเป่าอวี้ก็พลันรู้สึกอัดอั้นและต้องบังคับตนเองไม่ให้ไปหานาง…