ถ้าไม่ใช่เพราะต้องเก็บแรงเอาไว้ออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ นางก็อยากจะกระโดดเข้าไปทุบเขาหนักๆ สักยกหนึ่งจริงๆ
เขาได้รับความรักใคร่ตามใจจนเสียคนแล้ว คนที่สมควรโดนตีโดนด่าเช่นนี้ไม่มีทางเข้าตานางหรอก!
จย่าเป่าอวี้นิ่งงัน เขาไม่เคยขบคิดถึงปัญหานี้มาก่อน แต่…
“ข้าไม่มีวันมีสาวใช้ห้องข้าง ไม่มีวันรับสาวใช้ห้องข้าง และไม่มีทางมีลูกกับอนุภรรยา!” เขาตะโกนออกมาอย่างไม่ต้องหยุดคิด เพราะเขาไม่ได้อยากมีสาวใช้ห้องข้างหรืออี๋เหนียงเหมือนบิดา สิ่งที่เขาต้องการคือการมีภรรยาแค่ผู้เดียว
และภรรยาคนที่เขาต้องการคือ…
“ผู้ใดจะรู้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หลินไต้อวี้ยักไหล่อย่างไม่แยแส “คุณชายรองเป่า ข้าเหนื่อยแล้ว เชิญท่านไปชมละครเป็นเพื่อนท่านยายที่สวนเถิด”
อย่าอยู่ที่นี่ต่อเป็นอันขาด เพราะนางกลัวเหลือเกินว่าจะมีสาวใช้มาพบว่าเขาอยู่ที่เรือนพักของนางแล้วทำให้วันที่นางจะได้กลับบ้านต้องทอดห่างออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด
“เจ้าบอกมาซิว่าต้องทำอย่างไร เจ้าจึงจะดีต่อข้าบ้าง”
น้ำเสียงไม่ยี่หระของหลินไต้อวี้ทำให้จย่าเป่าอวี้โกรธจัด เขาคว้ามือของนางมาถามอย่างต้องการคำตอบ
“ปล่อยข้า” หลินไต้อวี้พูดเสียงเรียบ
“เจ้าก็บอกสิว่าเพราะเหตุใด! ทั้งที่ข้าดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้แต่กลับสู้จย่าหวนไม่ได้?!” ความกราดเกรี้ยวนี้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็กล้ำกลืนมันลงไปไม่ได้ มันไม่ใช่แค่เพราะจย่าหวนเป็นลูกอนุ แต่ที่สำคัญมากยิ่งไปกว่าคือจย่าหวนได้มีพื้นที่ในหัวใจของนางทั้งที่ที่ตรงนั้นสมควรเป็นของเขา!
“เพราะจย่าหวนเป็นคนน่าสงสาร เพราะจย่าหวนน่าเห็นใจ สิ่งที่เขาทำเป็นแค่การปกปิดความน้อยเนื้อต่ำใจและป้องกันตัวเอง ในสายตาข้าเขายังพอช่วยได้ ในขณะที่ท่าน…” หลินไต้อวี้กระตุกมือออกจากอุ้งมือของเขาด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และแรงของนางมากพอที่จะทำให้จย่าเป่าอวี้เซล้มลงบนพื้น หลินไต้อวี้ลุกขึ้นอย่างแช่มช้าพลางปรายตามองเขา “ท่านมันจองหองจนไม่เหลือทางแก้ไขอีกแล้ว ข้านึกชังท่านตั้งแต่แรกเห็น…ไสหัวไป!”
จย่าเป่าอวี้มองรอยยิ้มของนางที่สลายหายไปอย่างตะลึงลาน ในดวงตานิ่งสงบร้อนรนด้วยเพลิงโทสะ ใบหน้าสวยหวานประดุจบุปผาแลดูเยือกเย็นอย่างไม่อาจล่วงเกิน แสงจากเปลวเทียนส่องสะท้อนให้เห็นถึงความงามสง่าผิดตา
เขาสมควรโมโห สมควรไม่พอใจ และสมควรหมุนตัวเดินจากไป แต่ชั่วขณะนั้นเขากลับขยับตัวไม่ได้ เพราะความงามประดุจเทพเซียนของหลินไต้อวี้ทำให้หัวใจรู้สึกหวาดหวั่น
“ไสหัวไปให้ห่างจากข้า อย่าทำให้ข้าต้องเหนื่อยอีก” หลินไต้อวี้กล่าวเสียงเย็นชา
นางเจออันตรายจากทั้งที่แจ้งและที่ลับในคฤหาสน์สกุลจย่ามามากพอแล้ว ถ้าฉินเข่อชิงไม่มีน้ำใจเตือนนาง เกรงว่าหลินไต้อวี้คงไม่ได้ย่างเท้าออกจากประตูคฤหาสน์สกุลจย่าอีก เวลานี้นางมอบตะปูอ่อน ให้เขาไปหลายดอกแล้ว ที่นางรักษามารยาทและระยะห่างกับเขาเป็นเพราะต้องการให้ตนเองได้อยู่อย่างสงบมากขึ้นสักเล็กน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าเขากลับเป็นฝ่ายวิ่งมาข่มขู่นางเสียเอง
เห็นได้ชัดเลยว่าจย่าเป่าอวี้เป็นลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจจนเสียคน ช่างน่ารังเกียจนัก
เพียงแต่จนถึงวันนี้หลินไต้อวี้ก็ยังคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดฉินเข่อชิงถึงเข้าใจว่าจย่าเป่าอวี้เป็นคนอาภัพ ทั้งที่เขาเป็นพวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ถ้าคนอย่างเขาอาภัพ บนโลกคงไม่มีคนวาสนาดีอีก
“หมายความว่าอย่างไร” จย่าเป่าอวี้ได้สติ เขาถามเสียงงึมงำ
ขนตายาวของหลินไต้อวี้หลุบต่ำ นางคิดหนักว่าควรสั่งสอนเขาหนักๆ ดีหรือไม่
แต่แล้วจู่ๆ กลับมีเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาอย่างเสียขวัญดังมาจากด้านนอก ทำให้นางนึกในใจว่าแย่แล้ว มีแม่นางที่แต่งกายเป็นสาวใช้วิ่งเข้ามาตามคาดจริงๆ
คนผู้นี้เป็นใคร…สาวใช้ในบ้านมีจำนวนมากเกินไปทำให้นางจำไม่ได้จริงๆ ว่าคนใดเป็นคนใดแล้ว
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ค. 62)